วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: J-Scent - Ramune (Japanese Soda)

J-Scent - Ramune (Japanese Soda)

ถ้าพูดกันในเรื่องของ Soft Drink แน่นอนว่าถ้าเป็นที่ไทยแลนด์ก็จะต้องนึกถึงพวกน้ำอัดลมก่อนเลยเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็น โค้ก เป๊ปซี่ แฟนต้า มิรินด้า ซาสี่ หรือสไปรท์ จะรวมพวกน้ำอัดลมแบบรถจรวดหน้าโรงเรียนด้วยก็ได้ แต่ถ้าเป็นญี่ปุ่นก็จะมี Soft Drink ผสมโซดาที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานและจะนานยาวๆ ไปแน่ๆ ซึ่งนั่นก็คือ Ramune ที่เป็นน้ำอัดลมหรือน้ำโซดาประเภทหนึ่งที่คนญี่ปุ่นก็ต้องผ่านการลิ้มลองกันมานักต่อนักแหละ

ซึ่งจุดเริ่มต้นของ Ramune มันก็คือน้ำเลมอนเนดนั่นเอง แต่มันมีอะไรที่มากกว่านั้นเพราะว่านอกจากขวดที่สวยงามแล้ว ยังมีกิมมิคที่มีลูกแก้วเป็นตัวรองรับแรงกดของก๊าซคาร์บอนที่ใช้ในการอัดลมที่มีอะไรให้ตื่นเต้นเก๋ๆ ให้เพลินๆ รวมถึงมีการดัดแปลงเพิ่มรสชาติต่างๆ อีกมากมาย ทั้งผลไม้ต่างๆ รวมถึงรสชาติแปลกๆ เก๋ๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่นอย่างเช่นแกงกะหรี่หรือว่าวาซาบิก็มี จนเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มประจำฤดูร้อนของญี่ปุ่นไปเลยก็ว่าได้ เช่นนั้น เมื่อแบรนด์ J-Scent ได้เอาความเป็น Ramune มาเปลี่ยนสภาพจากน้ำอัดลมมาสู่การเป็นกลิ่นหอมที่บ่งบอกถึงความเป็นญี่ปุ่น มีหรือที่จะพลาดในการเอามาครอบครอง เช่นนั้นใช้งานจนมีความเข้าใจก็ถ่ายทอดต่อได้แบบนี้เลย

Ramune (Japanese Soda) จะเปิดตัวขึ้นมาแบบซาบซ่าและสดชื่นมาก ได้ความรู้สึกของการเป็นน้ำอัดลมเต็มเปี่ยมซึ่งกลิ่นที่มาชัดเจนเลยนั่นก็คือความพุ่งฟุ้งของ Aldehydes ที่จะให้ความคมฟุ้งๆ ติด Citrus ที่มีความอวลซ่าหน่อยๆ ที่ตีคู่ Sprakling ไปกับโทนเลมอนที่ให้ความเปรี้ยวสดชื่นติดหวานปลายกลิ่นพร้อมกับความเปรี้ยวปร่าซ่าติดขมเล็กๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ซึ่งแน่นอนในวูบแรกมันคือน้ำเลมอนเนดที่เปรี้ยวซ่าตามด้วยหวานปลายกลิ่น ที่ถ้ามาเทียบกับความรู้สึกแบบคนไทยนี่คือ สไปรท์ เลยล่ะ แต่ในวูบถัดมาจะได้กลิ่นหวานหอมของราสเบอร์รี่ที่เสริมขึ้นมาพร้อมกับมินต์ที่ให้ความปร่าซ่าเจือเขียวรื่นรมย์ ซึ่งเมื่อทุกอย่างมาเจอกัน มันไม่ใช่แค่การเป็นเลมอนเนดแล้ว เพราะว่าจะมีกลิ่นอายแบบครีมโซดาเข้ามาร่วมด้วย เลยได้เลเยอร์กลิ่นที่เพลินมาก เพราะวูบกลิ่นจะสลับกันสร้างความสนุกสนานและความรื่นรมย์ในการดมแบบวูบนี้ได้กลิ่นครีมโซดาติดมินต์ วูบนี้ได้กลิ่นราสเบอร์รี่ติดเขียวหอม วูบนี้ได้กลิ่นน้ำเลมอนเนด เรียกว่าเป็นช่วงเปิดที่ดีมากและสร้างความสุขในการดมได้เลยในทันทีจริงๆ

การเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ช่วงกลางจะใช้เวลาจากช่วงต้นราวๆ 10 - 15 นาทีได้ (แล้วแต่สภาพอากาศ) ซึ่งความเป็นน้ำเลมอนเนดจะเบาลง เหลือแต่ครีมโซดาที่จะยังคงตัวเด่นอยู่ แต่จะได้ความละเมียดของกลิ่นโทนดอกไม้กึ่งนวลติดสบู่หน่อยๆ (แต่ไม่ได้เป็นกลิ่นสบู่จ๋าๆ ขนาดนั้น) ซึ่งจะทำให้ได้อารมณ์แบบน้ำครีมโซดาเขียวซ่าอ่อนๆ จากมินต์ ที่แอบมีไฮยาที่มีกลิ่น Aldehydes รองพื้น ที่มีกลิ่นราวเบอร์รี่หวานหอมเคล้ากลิ่นดอกไม้ติดเปรี้ยวอมหวานนวลของแมกโนเลียเคล้ากับความหวานระเรื่อติดรื่นจมูกของกุหลาบเบาๆ ซึ่งจะมีความเป็นเลมอนเนดประปรายให้จับต้องได้ อารมณ์เลยจะได้ความรู้สึกแบบติดหอมอวลๆ ที่รื่นรมย์ในความเขียวหอมแบบครีมโซดาเคล้าดอกไม้ติดเลมอนเนดประปรายได้ดีมาก อารมณ์เดียวกับหลังจากดื่มความสดชื่นไปแล้วกลิ่นหอมน้ำอัดลมเฉพาะแบบนี้ยังคงอวลอยู่ในปากและโพรงจมูกอะไรประมาณนั้น จนเมื่อกลิ่นเริ่มอ่อนเบาลงเรื่อยๆ และจับต้องได้ถึงโทนนวลสะอาดของ Musk ก็จะเป็นการเปลี่ยนเข้าช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นโทนสะอาดๆ ปนอบอุ่นเบาๆ ซึ่งจะจับต้องโทนอื่นๆ ได้จาก Musk คือวานิลลาติดแป้งอบอุ่นหน่อยๆ และมีโทนแอมเบอร์เจือไม้หอมอ่อนๆ ที่ให้ความมินิมัลเรื่อยๆ มาเรียงๆ โดยที่ยังมีกลิ่นดอกไม้ปนครีมโซดาซ่าอ่อนๆ ปลายกลิ่นแบบลูกติดพันมาจากช่วงกลางที่ยังให้ความสดชื่นเบาๆ นวลๆ ทิ้งท้ายแบบอารมณ์แบบกลิ่นกายที่มีโทนแป้งหอมอบอุ่นเบาๆ ที่ติดกลิ่นครีมโซดาอ่อนๆ ปิดท้ายความสนุกและความเพลินในการรับกลิ่นได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน ได้หมดทุกเพศเพราะกลิ่นมาสายถอดเอาโทนเครื่องดื่มและวิถีชีวิตมาเช่นนั้นไม่ว่าเพศไหนก็จัดได้สบายมากและได้ตั้งน้องๆ เด็กประถม (แบบฉีดเสื้อเอาแทนฉีดผิว) ก็ยังได้ ซึ่งเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันที่เป็นทั่วๆ ไป รวมถึงกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายก็ได้ (แต่เน้นช่วงท้ายๆ จะดีกว่า) ส่วนยามน่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป ชิลล์ๆ จะดีที่สุด ส่วนสถานการณ์แบบช่วงทางการจัดๆ หรือออกงาน กลิ่นจะไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องสร้างความน่าเชื่อถือเท่าไหร่ รวมถึงการใส่ไปท่องราตรี ถ้าจะได้ก็คือไปเฮฮาปาร์ตี้เฉยๆ แต่ถ้าเน้นใส่เพื่อความเย้ายวนเรียกแขกบอกเลยว่า โดนชาวบ้านสายแน่นๆ ทั้งหลายกลบมิดแน่นอน  

ความทน - อันนี้อาจจะไม่ได้โดดเด่นนัก (ให้อภัยได้เพราะกลิ่นดี) โดยเฉลี่ยที่เจออยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งถ้าอยู่ในห้องแอร์ส่วนใหญ่ลากไปที่ 8 ชม.ได้บ้าง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางซักราวๆ 2 ชม. แล้วค่อยๆ ลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปจนถึงราวๆ 4 - 5 ชม. ที่เหลือจะเป็น Skin Scent ตีขึ้นยามขยับร่างกาย แล้วค่อยๆ จางไป

สรุป - เป็นกลิ่นอายที่ไม่ได้มีแค่เป็นแค่โทนน้ำอัดลม แต่ได้ความรู้สึกครบถ้วนมากในการถ่ายทอดตั้งแต่เปิดขวด Ramune แรกดื่ม ขณะดื่ม หลังดื่ม และอารมณ์ + วิถีความเป็นญี่ปุ่นที่ต่อเนื่องหลังจากนั้นได้อีก ครบถ้วนความรื่นรมย์ผ่านกลิ่นแบบชัดเจนมาก ยอมมมมม กลิ่นงดงามในความรู้สึกจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/j.scent.fragrance/photos/a.1032295440492267/1113782652343545/

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น