วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2565

Review: Neela Vermeire Creations - Ashoka

Neela Vermeire Creations - Ashoka

จุดเริ่มต้นจากการเป็นชาวอินเดียที่ได้รับวัฒนธรรมทางกลิ่นที่หลากหลายจนกลายเป็นความหลงใหลในเรื่องกลิ่นหอมต่างๆ ของ Neela Vermeire ตั้งแต่เด็ก จนเมื่อเติบโตขึ้นและมีความก้าวหน้าทางอาชีพในการเป็นทนายความที่ประสบความสำเร็จที่ฝรั่งเศส ก็สนใจที่จะสานต่อใน Passion ของตัวเองในเรื่องความหอม โดยการสร้างแบรนด์น้ำหอมเป็นของตัวเองขึ้นมา โดยมี Partner คนสำคัญในการเป็น Perfumer สร้างสรรค์กลิ่นต่างๆ และคร่ำหวอดในสายน้ำหอม Niche Perfume มาอย่างโชกโชนอย่าง Bertrand Duchaufour (L’Artisan Parfumeur, Acqua di Parma และ Penhaligon’s เป็นต้น) ซึ่งเจ้าของแบรนด์เองเปิดทางเต็มที่ในการสร้างสรรค์และใช้ส่วนผสมทางกลิ่นแบบจัดเต็ม เพื่อให้ได้กลิ่นที่ถ่ายทอดความเป็นอินเดียในแง่มุมต่างๆ ทั้งบุคคล สถานที่ พิธีกรรม และวัฒนธรรมต่างๆ แบบตะวันตกบรรจบกับตะวันออก สู่การเป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche คุณภาพกลิ่นระดับ Top Class และงดงามเป็นระดับต้นๆ ในทุกวันนี้

ซึ่งในแบรนด์ก็มีน้ำหอมอยู่รุ่นหนึ่งที่มีความน่าสนใจมากกับการ Tribute หนึ่งในจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของอินเดียอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ที่แม้จุดเริ่มต้นอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ายกย่องจากการเป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมในการศึกสงคราม แต่เมื่อ Timing ได้จากการสลดสังเวชในศึกที่แคว้นกาลิงคะแล้วเห็นผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก เลยมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น บวกกับการได้พบนิโครธสามเณรที่ได้แสดงธรรมจนเปลี่ยนมาเป็นหนึ่งในผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่มาก รวมถึงการส่งสมณะทูตเผยแพร่ศาสนาพุทธทั้งในและนอกอินเดีย และอื่นๆ อีกมาก เช่นนั้นในความยิ่งใหญ่นี้ Neela Vermeire Creations จะสร้างสรรค์น้ำหอมออกมาอย่างไร เพื่อคารวะและยกย่องมหาราชพระองค์นี้ ก็ขอถ่ายทอดเรื่องราวของกลิ่นออกมาแบบนี้เลย

Ashoka จะเปิดตัวด้วยกลิ่นแบบโหมโรงให้เรารู้ก่อนในราวๆ 30 วินาทีแรกว่าเนื้อกลิ่นจะปูทางเป็นลักษณะใด ซึ่งในช่วงโหมโรงนี้จะได้อารมณ์กลิ่นครีมมี่กึ่งฟรุตตี้หอมหวานคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นดอกไม้กึ่งแอปริคอตที่เป็นลักษณะกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ และกลิ่นคล้ายโทนหนังค่อนไปทางหนังกลับแกมกลิ่นไม้จันทน์หอมครีมมี่แกมมิลค์กี้ติดเขียวหน่อยๆ ฟุ้งขึ้นมา เนื้อกลิ่นมีความคมติดเขียวแทรกปลายกลิ่นให้รู้สึกได้ด้วย แต่ภาพรวมให้ความรู้สึกสว่างวาบหวานหอมกำลังดีติดคมนิดๆ แต่ไม่ได้บาดหรือว่าดูจงใจเล่นใหญ่แต่อย่างใด

แต่พอเข้าสู่ช่วงต้นเนื้อกลิ่นจะเริ่มแสดงออกมาถึงความเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลยกับการนำเสนอกลิ่นมะเดื่อฝรั่ง (Fig) ที่จะมี 2 โทนให้รู้สึก คือ กลิ่นออกทางเขียวขมทึบแกมดาร์กหน่อยๆ ที่เป็นสไตล์ของใบ ตามด้วยกลิ่นมิลค์กี้ของผล Fig ที่ให้นึกภาพเวลาเราตัดขั้วลูก Fig แล้วมันจะมีน้ำขาวๆ ไหลออกมา ซึ่งจะมีกลิ่นเขียวปร่าซ่านิดๆ มีความเขียวแกมขมอ่อนๆ ซึ่งจะมาแบบนี้เลยทำให้ประทับใจมากในการนำเสนอกลิ่น Fig ที่มีความเป็นธรรมชาติและพอเหมาะสุดๆ โดยไม่ได้หนักไปข้นไปแต่อย่างใด และเนื้อกลิ่นจะมีความสดชื่นติด Watery น้ำๆ ชื้นๆ หน่อยแกมหวานค่อนจืดที่เป็นเอกลักษณ์ของดอกบัวหลวงเสริมอยู่ เลยได้ภาพแบบกลิ่นอายบรรยากาศชัดเจนแบบสถานที่ในพระพุทธศาสนาที่มีต้นมะเดื่อ มีลานบัว มีความเขียวของต้นไม้ และมีบรรยากาศธรรมชาติโทนสว่าง โดยที่มีความรู้สึกถึงกลิ่นที่ตามมาจากช่วงโหมโรงว่าเหมือนจะหายไป แต่จริงๆ เตรียมตัวอยู่ เพราะจะเป็นหนึ่งในโทนที่น่าจดจำในช่วงถัดไป

เมื่อเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลาง กลิ่นโทนครีมมี่ Floral แกมวานิลลาจะเสริมขึ้นมา และช่วงโหมโรงของกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ก็จะกลับมาให้สัมผัสได้ในช่วงนี้ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความอบอุ่นแกมนวลสว่างที่จะได้อารมณ์กลิ่นแบ่งออกเป็น 4 โทนหลักๆ คือ

   1. โทนครีมมี่วานิลลากึ่งแป้งนวลที่น่าจะมีถั่วตองก้ารวมอยู่ด้วย

   2. โทนดอกไม้ที่จะให้กลิ่นอายโทนหวานออกทางสีเหลืองสว่าง ซึ่งจับต้องได้ชัดเจนถึงกลิ่นของหอมหมื่นลี้ที่ให้ความหวานอมเปรี้ยวแกมแอปริคอต กลิ่นออกทางหวานเย้ากึ่งกล้วยอ่อนๆ ของกระดังงา และกลิ่นหวานแกมเขียวออกทางแป้งโปร่งๆ ของดอกกระถินเทศ ที่บางวูบมีความรู้สึกหวานนวลๆ ของมะลิมาให้รู้สึกบ้าง

   3. โทนเขียวขมทึบของใบ Fig และโทนมิลค์กี้ของลูก Fig ที่ก็ยังตามมาอยู่

   4. โทนไม้หอมที่เด่นกับไม้จันทน์หอมและมีกลิ่นโปร่งๆ แบบไม้สว่างๆ ของ ISO E Super แถมหญ้าแฝกที่ให้ความ Earthy แบบไม้แห้งๆ กึ่งดินสะอาดๆ

ซึ่งทั้งหมดจะผสมผสานกันอย่างมีมิติและมีเลเยอร์สอดรับช่วงกันได้อย่างรื่นไหลมาก โดยจะยืนพื้นที่กลิ่นแนวอบอุ่นแกมแป้งนวลแล้วมีกลิ่นต่างๆ เข้ามาผสมผสานอย่างลงตัวและมีชั้นเชิง จนกลายเป็นกลิ่นแป้งไม้หอมครีมมี่ที่มีความหวานสว่างๆ แกมเขียวแทรกประปรายได้อย่างเหนือชั้นและผ่อนคลายมาก อันนี้ยอมในความหอมมากจริงๆ

การส่งต่อระหว่างช่วงกลางไปช่วงท้าย ตัวเด่นหลักเลยจะเป็นโทนไม้หอมที่จะเป็น ISO E Super ที่ให้โทนไม้ซีดาร์สว่างโปร่งๆ ที่เรียกว่าคุมสมดุลย์ได้ดีมากเพราะไม่ได้รู้สึกรบกวนกลิ่นอายธรรมชาติที่ควรจะเป็นในเนื้อกลิ่นนี้เลย (อันนี้สุคนธกรเก่งมาก) และเป็นตัวเชื่อมกับสายไม้หอมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

   1. ไม้แห้งๆ ติดเขียวสะอาดติด Smoky นิดๆ ที่เป็นลักษณะของหญ้าแฝกแบบ Haitian Vetiver

   2. กลิ่นยางไม้แกมปร่าเขียวหน่อยๆ ของสน Fir กลิ่นยางไม้มดยอบหรือ Myrrh ที่ให้โทนกึ่งไม้หอมกึ่งยาที่มาจากเนื้อไม้หน่อยๆ

   3. กลิ่นยางไม้กำยาน Styrax ที่ให้ความหวานกึ่งปร่าค่อนไปทางแอมเบอร์ กลิ่นโทนธูปผงไม้หอมอ่อนๆ คิดควันเบาๆ และสุดท้าย

   4. กลิ่นไม้จันทน์หอมที่ให้โทนครีมมี่นวลสว่าง สอดรับพอดีกับโทนแป้งครีมมี่จากช่วงกลางที่ลงมาเป็นสายสนับสนุน

โดยมีกลิ่นโทนหนังที่กลับมาให้จับต้องได้เสริมขึ้นมาแบบเหมาะสมให้ลูกเล่นในเนื้อกลิ่นหนังเบาๆ เคล้าความอบอุ่นที่มาจากกลิ่นอายของอำพันปลาวาฬ (Ambergris) ที่ให้โทนคล้ายผิวกายติดเค็มตามธรรมชาติ ทำให้เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนไม้หอมสว่างๆ มีความรื่นรมย์ และมีลูกเล่นในความสว่างทั้งโทนหวานระเรื่อ กลิ่นไม้แห้งที่ขรึมโปร่งมีความสะอาดติดเขียวนิดๆ และกลิ่นไม้หอมครีมมี่เรียบหรูที่มีลูกเล่น Smoky Incense เนียนๆ ซึ่งเรียกว่าให้เนื้อกลิ่นที่มีความหรูหราและสูงศักดิ์ในการเป็นไม้หอมที่มีหลากอารมณ์ทั้งอ่อนโยน พลิ้วไหว อะโรม่า ที่แฝงความหนักแน่นแบบไม่จงใจ ถือเป็นการปิดท้ายความเป็น Ashoka ที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เป็นกลิ่นที่ให้ออร่าโทนสว่างนวลเสริมด้วยกลิ่นเขียวธรรมชาติเคล้าความมีระดับอย่างผ่อนคลายไม้หอมที่ให้ความรู้สึกเหมือนคนใจดีแต่มีออร่าที่สูงศักดิ์มาเลย เลยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการ หรือทั่วๆ ไปแบบวางตัวดีหน่อย แต่ถ้าจะใส่แบบลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายข้ามไปจะดีกว่า เนื้อกลิ่นไม่ได้ไปทางแบบนั้น ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงาน หรือเสริมออร่าความมีระดับอย่างมีชั้นเชิงจะดีที่สุด

ความทน - 8 ชม. คือพื้นฐาน และไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้เลย เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ เรียกว่าสร้างความประทับใจตลอดวันลามไปยังกลางคืนเลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนเปิดตัว ก่อนจะลดลงมาปานกลางที่ให้ความเป็นธรรมชาติ แล้วจะขยับขึ้นมากระจายดีอีกทีในช่วงกลาง ก่อนจะผ่อนลงไปเรื่อยตามเวลา สิ้นสุดที่ Skin Scent เมื่อผ่านไปประมาณ 8 - 10 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ความคิดเห็นส่วนตัวในแง่การ Tribute นี่คือช่วงที่พระเจ้าอโศกมหาราชเริ่มศรัทธาในพุทธศาสนาจนไปสู่การเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่เป็นผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งชัดเจนจริงๆ เพราะไล่เรียงจากความสว่างวาบชัดเจนในความคิด กลับมาสู่ความเป็นธรรมชาติ และพัฒนาความนวลสว่างเรืองรอง จนมีความอ่อนโยนและแข็งแกร่งในแง่ความเป็นบุคคลที่เลื่อมใสในพุทธศาสนา คือ ภาพในหัวมาเป็นสเต็ปเลยในการใช้งาน แต่ถ้าไม่ได้มองในเรื่อง Tribute กลิ่นนี้คือความเป็นธรรมชาติสู่ความอ่อนโยน ความอบอุ่นที่มีระดับและมีความสูงศักดิ์ชัดเจนมาก ที่สำคัญคุณภาพเนื้อกลิ่นคือที่สุดจริงๆ ยกดาวให้ทั้งฟ้าเลยว่ายอดเยี่ยมมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://perfumesociety.org/putting-on-the-spritz-discovery-box-neela-vermeire-creations-ashoka/

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น