วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2565

Review: Hugo Boss - Boss Sport

Hugo Boss - Boss Sport

การสร้างสรรค์น้ำหอมชายที่มีพ่วงท้ายรุ่นว่า Sport ในแต่ละยุค ใช่ว่าแม้จะมีความสดชื่นเป็นแกนหลักในการนำเสนอกลิ่นก็จริง แต่ในความสดชื่นนั้นกลับแตกต่างกันไปอย่างชัดเจนมาก เช่น ถ้าตีความในยุค 80 ก็จะเป็นสดชื่นแบบสไตล์เขียวสมุนไพร + Oakmoss แต่ถ้าเป็นยุค 90 ก็จะเข้าสู่ช่วงของโทนสะอาดกึ่ง Aquatic และพอมาในยุค 2000 ก็จะเริ่มเป็นโทน Citrus กึ่ง Aquatic และถ้าเป็นช่วงปี 2010 ถึงปัจจุบันก็จะเริ่มมีความอวลแกม Spicy เข้ามาสร้างเสน่ห์ในความเป็นโทน Sport มากขึ้น ซึ่งก็จากที่ผ่านๆ มาแทบไม่เคยได้ไปจับต้องกลิ่นอายโทน Sport ในช่วงยุค 80 มาก่อนเลย

และเมื่อค้นไปค้นมาก็ได้เจอสิ่งที่เก็บไว้ เพราะเคยได้น้ำหอมโทน Sport ในยุค 80 มาอยู่ 1 ขวดกับฝีมือการสร้างสรรค์กลิ่นโดย Hugo Boss ในยุคนั้นกับขวดเดียวฝาแดง (หรือจะฝาสีอื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามการผลิตในแต่ละช่วง) อย่างรุ่น Boss Sport เช่นนั้นได้เวลามาเรียนรู้กลิ่นกันหน่อยแล้วว่าจะให้เนื้อกลิ่นรและอารมณ์กลิ่นสื่อถึงความ Sport ของยุค 80 ออกมาอย่างไรบ้าง และต่อจากนี้คือคำตอบ

Boss Sport เปิดตัวมาได้เกินคาดมากกับการนำเสนอกลิ่นอายโทนเขียวต่างมิติความหอมแต่ยืนพื้นในความเป็นสมุนไพรที่ให้ความเขียวแห้งๆ เป็นเมนหลัก ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นที่สุดต้องยกให้ดอกดาวเรืองที่จะให้โทนเฝื่อนเขียวติดออกทางแห้งๆ ชัดเจนออกมาก่อนเพื่อนเลย แล้วจะสัมผัสได้ถึงโทนเขียวขมๆ ของโกฐจุฬาหรือ Wormwood ที่มาเสริมให้มีมิติของความเขียวมีมากกว่าความเป็นสมุนไพรแห้งๆ เสริมด้วยความปร่าเขียวของจูนิเปอร์เบอร์รี่ที่ให้ความปร่าเขียวกำลังดี แกมสอดแทรกด้วยความเป็นโทน Citrus ที่ค่อนไปทางขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ซึ่งกลิ่นมีความสดชื่นแบบเขียวแห้งขมแกมชื้นอ่อนๆ ที่มีความปร่าฟุ้งกำลังดีมีเสน่ห์ก็จริง แต่ก็จะเริ่มจับความเป็นสมุนไพรแห้งๆ ที่มีลูกโทนสะอาดแต่ไม่ถึงกับนวลจัดๆ ของลาเวนเดอร์ที่มี Oak Moss ให้ความเขียวเข้มผสานอยู่ทำให้เป็นสายสมุนไพรมากกว่าจะเป็นสายนุ่มสะอาดเข้ามาสอดรับเป็นพื้นกลิ่นอีก เลยทำให้ช่วงต้นเป็นโทนเขียวสมุนไพรต่างเลเยอร์ที่ผสมผสานกันได้อย่างดีและมีความเป็นธรรมชาติมาก สมกับเป็นน้ำหอมยุคเก่าที่คุณภาพกลิ่นยังเป็นธรรมชาติมากกว่าการใช้สารสังเคราะห์ในปัจจุบัน

ในการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะเข้าช่วงกลาง จะเริ่มสัมผัสกลิ่นอายติดเขียวปร่าหน่อยๆ กึ่งดอกไม้ และมีกลิ่นสมุนไพรที่เป็นโทนเขียวแกมหวานนิดๆ ของแทรากอนเข้ามาผสมมากขึ้น และแอบจับต้องได้ถึงกลิ่นคล้าย Stem เขียวๆ แกมกลิ่นน้ำในแจกันกุหลาบที่เป็นลักษณะเด่นของเจอราเนียมเข้ามาเสริมด้วย เรียกว่ามิติโทนเขียวมีความซับซ้อนมากขึ้น และเบลนด์กันได้อย่างลงตัวกับกลิ่นในช่วงต้นที่ตามมาทั้งหมดในการเข้าสู่ช่วงกลาง โดยจะมีเนื้อกลิ่นโทนอื่นๆ มากกว่าโทนเขียวเข้ามาเสริมอย่างสายดอกไม้ต่างๆ ที่มาแบบไม่หนักไม่แย่งซีน ออกแนวเป็นสายเกลากลิ่นให้ลงตัวมากขึ้น ซึ่งจะจับได้ชัดๆ เลยคือกุหลาบ และความปร่าเขียวกึ่งดอกไม้ก็ชัดเจนเลยว่าเป็นคาร์เนชั่น รวมถึงแน่นอนว่าลาเวนเดอร์ก็ยังตามมาแต่คราวนี้จะให้ลูกผสมที่เป็นทั้งแนวสมุนไพรแห้งก็ได้และมีความอบอุ่นหน่อยๆ แบบแอมเบอร์เล็กๆ ซึ่งน่าจะมาจากตัว Clary Sage ที่เป็นกลิ่นลักษณะนี้ แต่ทั้งหมดยังคุมโทนความเขียวได้มีเสน่ห์และมีความเท่ห์แบบ Retro กำลังดีเลย

และเมื่อเริ่มจับต้องได้ว่า Oak Moss เริ่มกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น และมีโทนไม้หอมกับกลิ่น Musk แบบติด Animalic นิดๆ เสริมเข้ามา และมีกลิ่นพิมเสนปร่าระเรื่อคลออยู่ให้รู้สึกได้มาร่วมด้วย กลิ่นก็เริ่มเดินเครื่องเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว โดยที่โทนเขียวจะเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ เหลืองคงค้างไว้ 2 ความรู้สึกคือ ความเขียวเข้มกึ่งหมึกเท่ห์ๆ ของ Oak Moss และความเขียวอ่อนๆ แบบ Mix รวมเป็นปลายกลิ่นจากช่วงกลาง แต่พื้นฐานกลิ่นที่เหลือคือเปลี่ยนไปทั้งหมด เพราะจะเป็นโทนลูกผสมระหว่างไม้หอม Musk และแอมเบอร์ ที่ให้ความอบอุ่นกึ่ง Dirty นิดๆ เพราะ Musk มีโทน Animalic หน่อยๆ และกลิ่นไม้หอมต่างๆ ก็จะมีความแห้งๆ เริ่มจากหญ้าแฝก + ไม้ซีดาร์ที่เป็นโทนไม้แห้ง 2 ผสาน เสริมด้วยจันทน์หอมที่มีโทนเหมือนครีมมี่เล็กๆ + ปร่าพิมเสน ทำให้ฝั่งไม้หอมจะได้ความกลางๆ กำลังดีมีความสะอาด รวมถึงมีความอบอุ่นจากแอมเบอร์ที่มีความแปร่งยางไม้มากกว่าจะเป็นวานิลลา เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนหยินหยางกำลังดีได้ทั้งความสะอาดติด Dirty น่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วย โดยชัดเจนกับกลิ่นอายโทนแมนๆ คูลและเท่ห์ในสไตล์ Retro ที่เหนือกาลเวลา

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็สามารถใช้งานได้แล้ว เนื้อกลิ่นจะให้ทั้งอารมณ์แบบเขียวแห้งๆ ธรรมชาติเข้มชัดที่ร่วมสมัย และแบ่งเค้กกับกลิ่นสไตล์ Classic ได้กำลังดี เลยเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ลามไปกิจกรรมลุยๆ ก็ยังได้ เพราะโทนเขียวเอื้อกับสาย Activity รวมถึงมีความ Sport อยู่แล้ว รวมถึงใส่ช่วงเย็นหรือค่ำคืนได้สบายมาก เพียงแต่อาจจะไม่ได้มาสายอวลจัดหนักแบบน้ำหอมในช่วงปี 2020 ซักเท่าไหร่

ความทน - อันนี้ยอมให้เขาเลย ที่เจอสูงสุดคือ 15 ชม. แต่ถ้ามองที่ค่าเฉลี่ยยังไงก็ผ่าน 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - ดีตั้งแต่เริ่มต้น และเสมอต้นเสมอปลายมากในการกระจายดีที่ยาวไปจนถึงต้นๆ ช่วงท้ายเลย แล้วจะค่อยๆ แผ่วลงตามลำดับจนสุดที่ Skin Scent เอาเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. ไปแล้ว 

สรุป - ซึ่งถ้าคุณใช้งาน CK Eternity for Men EDT ได้ ตัวนี้คือ Advance ในการเข้าโทนเขียวที่เข้มชัดกว่า สมุนไพรกว่า และมีความ Retro กว่า โดยที่มีความเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นของส่วนผสมสูงมาก ซึ่งถือว่าเป็นกลิ่นเหนือกาลเวลาของ Hugo Boss อีกหนึ่งกลิ่นที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างลงตัว ได้อารมณ์ The Guy Next Door ยุค 80 เท่ห์ๆ มีเสน่ห์ ซึ่งถ้าจะมีปัญหาอะไรกับน้ำหอมตัวนี้ ก็จะมีแค่ปัญหาเดียวนั่นคือ “จะไปหาจากไหนได้อีก เพราะเลิกผลิตไปนานมากแล้ว” นี่แหละ ที่เป็นปัญหาใหญ่

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Hugo_Boss/Boss_Sport_Eau_de_Toilette

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น