Penhaligon’s
- Luna
Selene
เป็นหนึ่งในเทพีในตำนานเทพปกรณัมกรีกหรือถ้าในสายเทพปกรณัมโรมันจะเรียกว่า
“Luna” ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งจันทรา จะลงทัณฑ์แกเอง
หรือเรียกว่าเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์
ซึ่งมีตำนานเกี่ยวกับเทพีองค์นี้ที่มีชื่อเสียงพอสมควรในเรื่องราวความรักกับกษัตริย์รูปงามนามว่า
Endymion (ซึ่งแน่นอนว่าเป็นแรงบันดาลใจให้การ์ตูนเรื่อง
เซเลอร์มูนด้วย เพราะนางคือ เจ้าหญิงเซเรนิตี้
ที่คู่กับหน้ากากทักซิโด้หรือเจ้าชายเอนดิเมี่ยน)
ซึ่งแน่นอนว่า
Penhaligon’s
ได้ผ่านการสร้างสรรค์กลิ่นอายสายพระจันทร์ในรุ่นผู้ชายอย่าง Endymion
มาแล้วเมื่อปี 2003 แต่เพราะ Endymion ดั้งเดิมได้ชื่อว่าเป็นกลิ่นงามที่ความทนนั้นไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะมาแบบ Eau
de Cologne การสร้างสรรค์ครั้งใหม่ที่จะสื่อถึงเรื่องราวความรักที่เกี่ยวกับพระจันทร์
เลยทำออกมาแบบจับคู่ชายหญิงสื่อสารถึงเทพีแห่งดวงจันทร์และชายหนุ่มอันเป็นที่รักมันซะเลยในปี
2016 นั่นคือ Luna กับ Endymion
Concentre (ที่ความเข้มข้นมากขึ้นจากรุ่นปกติ
โดยยังไม่เลิกผลิตรุ่นปกติแต่อย่างใด)
และในครั้งนี้ขอข้ามฝ่ายชายไปก่อน
ถ้ามีโอกาสหรือหามาครอบครองได้จะมาเล่ากลิ่นกันอีกครั้ง
โดยจะขอมาเจาะกันที่ความเป็นเทพีแห่งจันทรากันหน่อยว่ากลิ่นอายที่แบรนด์เมืองผู้ดีแบรนด์นี้สร้างสรรค์จะเป็นอย่างไรบ้าง
Luna
จะมีความชัดเจนมากเลยทีเดียวกับการสื่อสารกลิ่นด้วย Theme หลักอย่าง “โทนดอกไม้สดชื่น (Fresh Floral)” ที่จะเด่นด้วยความเป็นกุหลาบแบบต้นยันจบในลักษณะของการเป็น
Center Note โดยในช่วงต้นจะเปิดตัวด้วยการเป็นกลิ่นอายสายสว่างที่สดชื่นที่สร้างลักษณะกลิ่นออกทางสีเหลืองอ่อนกันอย่างชัดเจน
ซึ่งจะโดดเด่นด้วยกลิ่นโทนเลมอนที่จะมาเปรี้ยวเจือฝาดติดหวานปลายมาเลย
แต่จะมีลูกเล่นกลิ่นติดขมปร่าเขียวสร้างบรรยากาศหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot)
แกมกลิ่นส้มใสๆ ไม่ได้หวานไม่ได้เปรี้ยวที่ให้ความรู้สึกฉ่ำอ่อนๆ
ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มีเท่านี้
เพราะกุหลาบจะแท็คทีมเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันสร้างลักษณะกลิ่นกุหลาบติดเลมอนกึ่งเปรี้ยวสดชื่นจากบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
อารมณ์กลิ่นเลยจะเป็นกุหลาบเคล้าโทนสีเหลืองอ่อนสว่างแกมสดชื่นได้ลงตัวและน่ารักมากตั้งแต่ช่วงเปิดเลย
เมื่อโทนกลิ่นเริ่มสลับตัวเดินเรื่องมาเป็นกุหลาบ
ช่วงกลางก็เลยรับไม้ต่อในการให้ความรู้สึกของกุหลาบสดชื่นต่อเนื่อง โดยที่โทน Citrus ทั้งหลายจะเริ่มเป็นสายสนับสนุนและที่ยังคุมโทนความสดชื่นอยู่
แต่กลิ่นจะเริ่มมีโทนเขียวปร่าเจือซ่านวลกำลังดีเสริมขึ้นมาในลักษณะคล้ายเหล้าจิน
ซึ่งนั่นก็คือ จูนิเปอร์เบอร์รี่
ที่จะเป็นลูกคู่ชั้นดีให้กลิ่นกุหลาบติดเปรี้ยวสดชื่นมีความปร่าอะโรม่าแบบมีชั้นเชิงเสริมอย่างมีระดับ
ซึ่งต้องบอกเลยว่ากลิ่นไม่ได้ไปสายอบอุ่น เพราะเนื้อกลิ่นมีความเย็นสบายๆ
ให้รู้สึกได้อยู่ตลอด โดยที่ไม่ได้ดูอ่อนเกินไป และไม่ได้ดูฟุ้งแรงเกินไป
ทุกอย่างกำลังพอเหมาะพอเจาะในการเป็นกลิ่นกุหลาบสดใสท่ามกลางอากาศปร่าเขียวเนียนๆ เคล้าบรรยากาศสีเหลืองสดชื่นที่ไม่ได้ดูเยอะสิ่งแต่ให้ความเรียบหรูกันยาวๆ
จนเมื่อเริ่มมีโทนนวลๆ มาเกลาให้กลิ่นโทน Citrus สร้างอารมณ์สีเหลืองสดชื่นค่อยๆ
ลดทอนลงไปเหลือเพียงประปราย และความเขียวปร่าเจือหวานหน่อยๆ
ของยางสนจะมาเสริมโทนเขียวซ่านวลอะโรม่าของจูนิเปอร์มากขึ้นจนกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักที่มีลูกคู่สนับสนุนชั้นดีไม่หนีไปไหนอย่างกุหลาบที่ยังคงมีอยู่แบบสมดุลย์ให้ความระเรื่อกุหลาบสดชื่นอ่อนๆ
อย่างมีเสน่ห์อยู่ เนื้อกลิ่นจะได้อารมณ์เหลืองนวลกึ่งเย็นๆ เจือเค็มเล็กๆ
แบบอารมณ์ผิวกายติดเค็มตามธรรมชาติ ที่จับต้องได้ถึงกลิ่นโทน White Musk และอำพันปลาวาฬ (Ambregris) ที่เริ่มมีอิทธิพลเข้ามาด้วยแบบเนียนๆ
กลิ่นในช่วงนี้จะสร้างความรู้สึกอยู่ 2 อย่างคือ
อารมณ์กลิ่นที่นวลสะอาดสดชื่นเคล้ากุหลาบเย็นๆ มีจริตนิดๆ
ท่ามกลางบรรยากาศปร่าเขียวอะโรม่าคล้ายกลิ่นเย็นๆ ยามค่ำคืนที่ให้ความรื่นรมย์และมีระดับแกมเรียบหรูในทีไปตลอ
ถือเป็นการปิดช่วงท้ายของน้ำหอมได้อย่างลงตัวและดีงามเลยทีเดียว
ถ้าอ้างอิงตามแบรนด์ที่บอกถึงกลิ่นอายพระจันทร์เสี้ยว
ก็ต้องบอกเลยว่าเข้าทางและสื่อสารได้ดี
เพราะการเอากลิ่นอายสดชื่นติดเขียวอะโรม่าบรรยากาศตอนกลางคืน มาเจือกับกลิ่นกุหลาบที่เจือความเป็นโทนสีเหลืองที่โดยเหลาจนนวลในช่วงท้าย
มันสร้างอารมณ์โรแมนติคได้ดีมาก โดยที่ไม่ต้องหวานจัด ไม่ต้องหนัก
แต่เอาอยู่อย่างมีความรื่นรมย์ และสร้างรอยยิ้มในการรับกลิ่นได้ไม่ยากจริงๆ
เหมาะสำหรับ
- ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่เรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่กลิ่นนี้ได้สบายมาก
กลิ่นมีความน่ารักก็ได้ เรียบหรูก็ดี สดชื่นก็เหมาะ แถมยังมีระดับที่ลงตัวมากๆ
ในการนำเสนอกลิ่นอายกุหลาบสดชื่นอีกด้วย
ซึ่งเข้าได้กับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป
ใส่กิจกรรมกลางแจ้งกับออกกำลังกายก็ได้อยู่ แต่นะ แอบเปลืองถ้าละลายไปกับเหงื่อหมด
ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อโรแมนติค ออกงาน หรือยามผ่อนคลายก็ลงตัวมาก
จะมีก็แต่การใส่ท่องราตรีที่ให้ตัดไปได้เลย กลิ่นไม่ได้มาสายนี้ นอกจากนี้เอาจริงๆ
กลิ่นนี้มีความ Unisex
สูงมากอีกหนึ่งกลิ่นที่ผู้ชายก็ใส่ได้สบายมากเลย
ยิ่งถ้าใส่กับชุดทำงานเชื้ตสีอ่อนๆ ยิ่งเข้ากันอย่างน่าประหลาดมาก เช่นนั้น
ผู้ชายใส่ได้ และใส่เถอะ คุณอาจจะรักกลิ่นนี้เข้าให้ได้เลย
ความทน
- อันนี้ที่เรียกว่าเกินคาดมากจริงๆ เพราะตั้งเป้ากับกลิ่นแนวๆ
นี้ไว้แล้วว่าไม่น่าจะทนมากนัก แต่เปล่าเลย ยาวไป 12 ชม. กลิ่นยังอยู่แบบอะเมซซิ่งมากๆ
ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยรวมทุกสภาพผิวก็ 6 - 8 ชม. ได้เลย
การกระจาย
- กลิ่นกระจายดีสร้างความอะโรม่าสดชื่นกันเต็มๆ ตั้งแต่แรก
แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางไปซักพักใหญ่ ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว เมื่อพ้นไปซัก 6 ชม.
กลิ่นถึงจะค่อยๆ เบาลงเป็น Skin Scent ในลำดับสุดท้าย
สรุป
- แม้เนื้อกลิ่นอาจจะทำให้นึกถึง กลิ่นโทนกุหลาบติดเปรี้ยวเขียวอะโรม่าคมๆ อย่าง Diptyque - L’Ombre
Dans L’Eau แต่ Luna มีให้โทนที่เย็นๆ
แกมโรแมนติคและมีความเป็นสายสว่างกว่า ซึ่งก็ต่างมีดีกันทั้งคู่ในการใช้งาน
และที่สำคัญ Penhaligon’s ทำกลิ่นนี้ออกมาได้อย่างลงตัวมากจริงๆ
กับความมินิมัลที่เรียบหรูมีเสน่ห์แบบนิ่งเย็นมีระดับที่ใช้แล้วเกิดความประทับใจได้ไม่ยาก
อีกหนึ่งผลงานสร้างสรรค์กลิ่นที่ตราตรึงได้เลยของแบรนด์นี้
หมายเหตุ:
1.
Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2.
Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!!
ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร
และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้
ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย
รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า
”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”
Photo
Credit -
https://www.penhaligons.com/uk/en/categories/fragrances/shop-all/luna-000000000065121079
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น