วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Diptyque - Vetyverio Eau de Parfum


Diptyque - Vetyverio Eau de Parfum

สำหรับแบรนด์ Diptyque สิ่งที่สามารถสสังเกตุได้ในการสร้างสรรค์น้ำหอมมาเสมอ คือ ถ้ามีรุ่น Eau de Toilette แล้วมักจะมีรุ่น Eau de Parfum ตามมาเสมอ โดยที่การสร้างสรรค์กลิ่นที่พื้นฐานอาจจะไม่ได้ต่างจากเดิมในแง่ของการใช้ Notes กลิ่นต่างๆ แต่สิ่งที่ได้มักจะมีความแตกต่างให้จับต้องได้ แต่ก็ไม่แตกแยกจากพื้นฐานเดิมของกลิ่นนั้นที่เคยปูทางมาเสมอ ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบกันไป แต่มีอยู่หนึ่งรุ่นที่วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2010 อย่าง Vetyverio ที่ยังไม่มีรุ่น EDP เมื่อครบ 7 ปี เข้าปี 2017 ก็ได้ฤกษ์ในการปล่อยความเป็นหญ้าแฝกที่เข้มข้นขึ้นซะที ซึ่ง EDP จะเป็นอย่างไรนั้นว่ากันแบบนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นชัดเจนกันตั้งแต่เริ่มเลยว่าหญ้าแฝกเป็น Center Note ที่จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งจะมาในรูปแบบโทนติดทางสว่างกันก่อนในช่วงต้น โดยจะเป็นลูกผสมการเป็นหญ้าแฝกที่ติดโทนสดชื่นของเกรปฟรุตที่มาให้ความเปรี้ยวติดแปร่งสดชื่นแบบที่เป็นธรรมชาติกำลังดี ให้ความรู้สึกกระปรี้ประเปร่าสว่างๆ มีความฉ่ำหน่อยๆ ของส้ม ติดเปรี้ยวเจือหวานปลายกลิ่นของเลมอน และมีความเปรี้ยวติดขมซ่าบางๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่จะมีความเป็นหยินหยางตรงที่หญ้าแฝกจะให้ความเป็นออกทางกึ่งถั่วกึ่งเขียวกึ่งไม้แห้งหน่อยๆ ที่มีความสะอาดเป็นฉากหลัง เลยทำให้กลิ่นจะได้ลักษณะของความสดชื่นติดสว่างตีคู่ไปกับโทนติดขรึมสะอาดได้ลงตัวมาก

เมื่อความเป็น Citrus ที่สร้างความสดชื่นเริ่มเบาลงไป กลิ่นโทนเขียวติดถั่ว Nutty หน่อยๆ เริ่มจะชัดขึ้นพร้อมกับความ Smoky ติดไม้แห้งที่เริ่มมาเสริมทัพให้ความเป็นหญ้าแฝกของกลิ่นนี้ในช่วงกลาง แต่กลิ่นก็มีอีกทีมเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนอย่างโทนดอกไม้แนวๆ ออกทางกุหลาบกึ่งเจอเรเนียม ที่จะได้ความเป็นกุหลาบติดเขียวที่เสริมให้กลิ่นของหญ้าแฝกมีเสน่ห์น่าค้นหากำลังดีเข้ามาร่วมด้วย โดยที่เนื้อกลิ่นยังคงมีโทนสดชื่นประปรายแบบอ่อนๆ ที่ยังคงอยู่ ซึ่งกลิ่นจะติดดาร์กแบบซีทรูบางๆ กำลังดี ไม่ได้ถึงกับ Dirty และ Sexy แต่มาแนววางตัวสุขุมที่น่าค้นหาแบบที่ยังมีระดับในความอะโรม่าติดสะอาดอยู่เหมือนเดิม จนเมื่อกลิ่นเริ่มเข้าสู่ความเป็นโทนไม้หอมแห้งๆ ปน Earthy มีความระเรื่อเบาๆ ของพิมเสนที่เนียนเข้ามา ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงไม้หอมแห้งๆ มีความ Smoky ติดควันบางๆ เคล้าความมีความเป็นโทน Earthy ติดดินอ่อนๆ อวลบางๆ และจับต้องได้ว่ามีโทน Musky เบาๆ ให้รู้สึกได้ด้วย เลยทำให้ได้พื้นฐานกลิ่นอายแนวๆไม้หอมแห้งสะอาด แต่มีความดาร์กบางๆ ที่มีเสน่ห์เนียนๆ โดยที่คุมโทนความสุขุมคัมภีรภาพได้เสมอต้นเสมอปลายเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นตราไว้ว่า Unisex แต่เอาจริงๆ ค่อนมาทางผู้ชายมากกว่าหน่อยตรงที่กลิ่นมาสายสุขุมติดมีระดับ แต่ถ้าไม่ใส่ใจไม่ว่าเพศไหนก็จัดไป ซึ่งกลิ่นเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กวาดหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป ลามไปถึงกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายด้วย เพียงแต่กลิ่นจะมาสายขรึมสุภาพ วางตัวดีที่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน อะไรประมาณนี้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบออกงานหรือออกเดทลงตัวที่สุด

ความทน - ตีค่าเฉลี่ยก็อยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน แต่ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางแล้วพอผ่านไป 6 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ซึ่งอันนี้การกระจายชัดกว่ารุ่น EDT ที่เน้นสุภาพเรียบหรูติดผิวเป็นหลัก

สรุป - พื้นฐานกลิ่นไม่ได้แตกต่างจากรุ่น EDT นัก เพราะยังคงให้ความเป็นหญ้าแฝกที่มีความอะโรม่าและมีระดับชัดเจนอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่สิ่งที่ต่างคือ โทนกลิ่นที่สร้างความสุขุมมากขึ้น ชัดเจนมากขึ้นในการซึมลึกในกลิ่นของหญ้าแฝกที่มีความดีงามในการนำเสนอกลิ่นอายสาย Earthy ที่มาหมดทุกอารมณ์ที่ควรจะเป็นของหญ้าแฝก ง่ายๆ ถ้าใครชอบหญ้าแฝกคลอผิวอย่างออร่ามีระดับอะโรม่าแบบมีชั้นเชิงที่สุภาพเข้าทางโทนสว่าง EDT คือใช่เลย แต่ถ้าชอบความเข้มมีความสุขุมเคล้าโทนดาร์กน่าค้นหาเข้ามาเป็นตัวเดินกลิ่นสร้างความหยินหยางระหว่างสายสว่างเดิมและสายดาร์กเนียนๆ EDP คือ คำตอบ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.parfumo.net/Perfumes/Diptyque/Vetyverio_Eau_de_Parfum


วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Diesel - Only the Brave Street


Diesel - Only the Brave Street

ห่างหายจากขวดรูปทรงกำปั้นของแบรนด์ Diesel มานานมากเลยทีเดียว ซึ่งถ้านับดูจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีโอกาสลองทุกตัวของสายนี้เท่าไหร่นัก นอกจากรุ่นต้นตระกูล ตามด้วย Wild และ Tattoo เพราะสายนี้ออกมากันถี่ๆ มากจนขอหมอบยาวๆ และเมื่อได้มีโอกาสกลับมาชะเง้อชำเลืองมองว่ามีอะไรมาใหม่บ้างของรุ่นนี้ ก็สะดุดตากับขวดกำปั้นสีปูนเปลือยที่ชื่อรุ่นลงท้ายด้วยคำว่า Street ไม่น้อย เพราะมีความ Hip Hop อย่างบอกไม่ถูก และก็เป็นไปตามคาด เพราะ

Only the Brave Street มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นมาจากวัฒนธรรม Hip Hop ที่เป็นสาย Street Dance ซึ่งในเมื่อมาสายนี้ ก็ต้องลองกันหน่อยแล้วว่าความเป็น Hip Hop ผ่านกลิ่นที่แบรนด์นำเสนอนั้นจะเป็นอย่างไร

Top Notes ถือเป็นการเปิดตัวแบบที่มีลักษณะกลิ่นออกทาง Bad Boy ปนอบอวลค่อนข้างชัด ซึ่งจะเป็นการผสมผสานกลิ่นโทนมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และสายเครื่องเทศอวลปร่าเผ็ดเย้าอย่างกระวานที่ค่อนข้างชัดมาตั้งแต่เริ่มต้น เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้อวลจัดเกินไปและไม่ได้เป็น Bad Boy จ๋าๆ นัก (ซึ่งถ้ามีลาเวนเดอร์มาร่วมด้วย จะกลายเป็นโทน Bad Boy จัดเต็มแน่ๆ) เลยทำให้กลิ่นค่อนข้างอวลแบบกำลังดีมีความแมนเย้า แถมด้วยการแทคทีมของกลิ่นนวลปร่าอ่อนๆ ของโหระพาและกลิ่นโทน Fruity ติดเปรี้ยวนิดๆ ของแอปเปิ้ลเขียว เลยทำให้กลิ่นมีลูกผสมกึ่งกลางระหว่าง Bad Boy ก็ได้ จะเท่ห์แมนอวลๆ ติดหวานปลายกลิ่นก็ดี ซึ่งก็ได้อารมณ์แบบผู้ชายสาStreet Hip Hop ที่ดูแลตัวเองและมีความ Cool และกลิ่นเปิดมีความทันสมัยแบบน้ำหอมยุคใหม่แนวๆ เดียวกับพวก Azzaro Wanted หรือ Paco Rabanne Invictus Intense อยู่พอสมควร

เพียงไม่นานกลิ่นอายความอวลจะเริ่มเบาลง แต่จะมีกลิ่นไม้หอมติดสมุนไพรเจือหวานเสริมเข้ามาเรื่อยๆ จนจับกลิ่นได้เลยว่าเป็นกลิ่นชะเอม ก็จะเป็นการเข้าสู่ Middle Notes ซึ่งกลิ่นจะผสมผสานกับโทนกลิ่นในช่วงต้นทำให้ได้โทนกลิ่นเป็นโทนไม้หอมเจืออวลเครื่องเทศกำลังดี มีความหวานเครื่องเทศเคล้าเนื้อไม้ตามลักษณะของชะเอมแบบที่มีกลิ่นกระวานเป็นตัวรับลูกพร้อมกับกลิ่นในช่วงต้นที่ยังตามมาในช่วงนี้ ซึ่งทำให้กลิ่นยังคุมโทนกลิ่นแบบแมนๆ อวลๆ ติดเท่ห์ที่เบาลงมา แต่มีความหวานติดปลายกลิ่นที่ชัดขึ้น โดยที่ไม่ได้หนักหน่วงหรือคมบาดแต่อย่างใด และเพียงไม่นานจะเริ่มจับต้องความอบอุ่นของโทนวานิลลาที่เนียนแทรกเข้ามาตามลำดับ กลิ่นในช่วงนี้เลยจะแบ่งภาคกันพอสมควรเพราะจะได้ทั้งโทนสมุนไพรแบบไม้หอมเครื่องเทศหวานเย้าเคล้ากลิ่นวานิลลาเนียนๆ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์กลิ่นเลยก็ว่าได้ เพราะมันจะไม่ใช่ Bad Boy จ๋าๆ แล้ว แต่จะเป็นโทนกลิ่นอวลมีเสน่ห์ติดเท่ห์ที่มีความคูลเจือหวานเฉพาะตัวจนเมื่อเริ่มสัมผัสถึงกลิ่นไม้หอมโปร่งขรึมๆ ปนไม้แห้งๆ ที่มาจา่กไม้ซีดาร์และหญ้าแฝก สถานะช่วงของกลิ่นเลยเปลี่ยนแปลงเป็น Base Note ที่จะเป็นช่วงไม้หอมเด่นคลอด้วยวานิลลาที่ติดอวลอุ่นกำลังดี และยังคงเสริมโทนด้วยกลิ่นนวลหวานปลายกลิ่นออกทางเครื่องเทศที่เหลือเพียงเบาบางและประปราย กลิ่นจะได้ความอวลอุ่นอ่อนๆ สบายๆ เรื่อยๆ ลุค Cool อยู่เช่นเดิมตั้งแต่ต้นยันปลาย ซึ่งแน่นอนว่าภาพรวมของกลิ่นถือว่าสื่อสารความเป็นโทนสาย Hip Hop ที่ไม่ได้ดูทะมึนมากเกินไป มีความโปร่งมากพอเข้ากับสไตล์แบบ Street Hip Hop ในที่แจ้งได้ดีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใช้ตัวนี้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นมาสายทันสมัย เข้าทางแมนๆ มีความ Hip Hop ที่ไม่หนักหน่วง ยิ่งถ้าใครพื้นเพเป็นสาย Hip Hop อยู่เดิม ใส่ตัวนี้เสริมออร่า Hip Hop ได้เลย ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วไป ซึ่งเอาจริงๆ ก็ใส่ทางการได้อยู่ แต่กะจำนวนสเปรย์ให้เหมาะสมจะดีที่สุด รวมถึงสามารถใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย (ที่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า) ได้ด้วย ตลอดจนสามารถใช้ยามค่ำคืนที่เพิ่มจำนวนสเปรย์หน่อยก็ออกลุยได้แล้ว เรียกว่าครอบจักรวาลพอสมควร เพียงแต่ไม่ได้ทางการจ๋าๆ นักก็เท่านั้นเอง

ความทน - อยู่ที่ประมาณ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอที่ีราวๆ 10 ชม. ได้เลย กับการใช้ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เปิดมาด้วยความอบอวลกันอย่างแท้ทรู แต่พอเข้าช่วงกลางจะลดทอนลงมาปานกลางไวหน่อย ก่อนค่อยๆ ผ่อนลงไปที่ออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นซัก 6 ชม. ก็เริ่มเข้าโซน Skin Scent กันยาวๆ ไป

สรุป - ต้องบอกว่ากลิ่นช่วงเปิดอาจจะจำเจและไม่หวือหวานัก เพราะกลิ่นอายสายแมนๆ ในช่วงปลายยุค 2010 มักจะมาในโทนที่ใกล้ๆ กันแบบนี้ แต่สิ่งที่แตกต่างและฉีกออกมาได้ดี คือการเอาความเป็นชะเอมที่ให้ความเป็นเครื่องเทศสมุนไพรติดหวานปนกลิ่นเนื้อไม้นี่แหละ ที่ทำให้กลิ่นนี้มีความ Cool และเข้าทางลักษณะ Hip Hop ได้ดี โดยไม่ได้ดูร้าย Bad Boy เกินไป ซึ่งแน่นอนว่าใช้งานไม่ยาก รวมถึงยังมีความเป็นกลิ่นอายสมัยนิยมที่ยังไงก็ไม่ตกยุคไปอีกยาวๆ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.chemistwarehouse.com.au/buy/89418/diesel-only-the-brave-street-eau-de-toilette-75ml-spray


Review: Francesca Bianchi - Sex and the Sea


Francesca Bianchi - Sex and the Sea

สิ่งแรกที่สะดุดตาก่อนเลยคือชื่อรุ่นน้ำหอม ที่ได้เห็นครั้งแรกเมื่อปี 2017 จากแวดวงน้ำหอม Niche Perfume ที่เป็นสายอินดี้ เพราะชื่อสื่อสารกันได้อย่างตรงไปตรงมามากอย่าง Sex and the Sea ซึ่งก็ว่ากันไปว่าแต่ละคนจะนึกภาพตามชื่อรุ่นน้ำหอมนี้อย่างไรต่อ แล้วพอไปดูแบรนด์ที่สร้างสรรค์น้ำหอมรุ่นนี้ขึ้นมาก็เลยได้รู้จัก Francesca Bianchi มาตั้งแต่นั้น กับการเป็นสุคนธกรชาวอิตาลีที่ไปอยู่ในเนเธอแลนด์ และสร้างสรรค์น้ำหอมสายอาร์ตต่างๆ ในรูปแบบของ Extrait de Parfum หรือ Pure Parfum มาตั้งแต่ปี 2016

ที่สำคัญเมื่อได้เห็นสิ่งที่สายกูรูน้ำหอมและเว็บบอร์ดหรือกลุ่มน้ำหอมทั้งหลายต่างชื่นชมและยกย่องน้ำหอมแบรนด์นี้มาเรื่อยๆ จนเมื่อกิเลสสุกงอมได้ทีเราก็ต้องหามาลอง ซึ่งแน่นอนต้องพุ่งเป้ามาก่อนเลยทีสิ่งที่เคยสะดุดตามาตั้่งแต่แรกรู้จัก เช่นนั้น มาเรียนรู้กันดีกว่าว่า Sex and the Sea ที่แบรนด์นี้ทำจะมีท่วงท่าทางกลิ่นอย่างไรบ้าง

กลิ่นเปิดทำเอาสตันกันไปพอสมควร เพราะตอนแรกรู้สึกถึงกลิ่นอายสไตล์ค็อกเทล Pina Colada ที่เป็นการผสมผสานเหล้ารัม น้ำสับปะรดและมะพร้าวกะทิ แต่แว๊บเดียวก็ต้องลบทิ้งไปหมด เพราะมิติกลิ่นเปลี่ยนแปลงไปเป็นโทนน้ำสับปะรด หวานที่วูบขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นโทนมะพร้าวกึ่งซันแทนโลชั่นแทน และไม่พอยังมีกลิ่นอายสายดอกไม้สีเหลือง 2 โทนที่เสริมขึ้นมาไวมาก นั่นคือ Mimosa หรือดอกกระถินเทศสีเหลืองที่ให้ความเขียวเจือหวานติดอินโนเซนส์ กับดอก Immortelle ที่ให้ความเป็นกลิ่นโทนคาราเมลหวานแห้งๆ ติดสมุนไพรที่มีความดึงดูดลุ่มลึก และยังไม่พอฉากหลังของกลิ่นในช่วงนี้จะมีโทนติดเค็มปน Animalic แบบผิวกายอวลเค็มชื้นหน่อยๆ และมีโทนติดแป้งอับเซ็กซี่ติดชื้นเนียนๆ แนวๆ ดอกไอริสหรือหัวเหง้าออริส ที่มาเป็นตัวสนับสนุนให้กลิ่นมีมิติที่ซ้อนและผสมผสานกันเป็นลักษณะกลิ่นอายหวานเย้าเจือเค็มเคล้าผิวกายที่ติดชื้นเหงื่อที่มีความเขียวอ่อนๆ กลิ่นโลชั่นซันแทนมะพร้าวเย้าจมูก และมีกลิ่นสับปะรดที่สร้างบรรยากาศหวานอวล ซึ่งสื่อสารอารมณ์กลิ่นได้เห็นภาพชัดเจนมากโดยให้นึกภาพตามได้เลยว่า เหมือนฉากเริ่มต้นกิจกรรมที่ต่างคนต่างได้กลิ่นอวลผิวกายลักษณะแบบนี้จากฝ่ายตรงข้ามแล้วดึงดูดเข้าหากัน โดยมีกลิ่นบรรยากาศที่หวานเจือเค็มเป็นสิ่งเร้าเข้ามาอีก ซึ่งเรียกว่ากลิ่นมีความซับซ้อนที่วูบวาบกันอย่างมากตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว และที่แน่ๆ ไม่มีกลิ่นทะเลทื่อๆ ตรงๆ โต้งๆ มาทำให้รู้สึกแย่งซีนกลิ่นอายปลุกเร้าแต่อย่างใดด้วย

ยิ่งเมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนสถานะเป็นเข้าสู่ช่วงกลาง ต้องบอกว่านี่แหละมหกรรมความนัวกันอย่างชัดเจน มิติกลิ่นจะจับต้องได้หมดทั้งโทนปลุกเร้า โทนดิบห่าม โทน Sexy โทนเย้ายวนรัญจวน โทนหวานติดเขียวล้ำ โทนอับนัว โทนชื้นลื่นติดเค็ม โทนลุ่มลึก โทนอบอุ่น โทน Dirty โทนดาร์ก โทนดึงดูด ซึ่งเหมือนทุกอย่างในช่วงต้นจะมารวมตัวกันในช่วงนี้เพื่อสร้างอัตลักษณ์ของคำว่า Sex and the Sea (หรือเอาจริงๆ ก็ Sex ริมหาดในที่ลับตาคนก็แล้วกัน) ซึ่งกลิ่นโทนซันแทนจะมีลักษณะของกลิ่นเหงื่อและกลิ่นติด Dirty สาปผิวกายที่มีทั้งโทนติดเค็มที่เริ่มจับต้องได้แล้วว่ามาจากกลิ่นอำพันปลาวาฬ หรือ Ambergris และโทนชะมดเช็ดเป็นฐานกลิ่นสำคัญสนับสนุนให้ผู้เล่นต่างๆ อย่างกลิ่นหวานลึกล้ำปนเขียวอับชื้นที่ผสมผสานจาก Mimosa ดอก Immortelle กุหลาบแห้ง สับปะรด ครีมมะพร้าว และกลิ่นโทนยางไม้แนวๆ Opoponax ที่ให้ความหวานเย้าแห้งอับ สร้างลักษณะกลิ่นนัวติดสารคัดหลั่งบางอย่าง เช่น เหงื่อ เป็นต้น รวมถึงกลิ่นโทนอบอุ่นปนอับเซ็กซี่ของโทนไอริส โทนแอมเบอร์ ที่ผนึกความล่อลวงลึกล้ำลงไปอีก ให้นึกภาพตามง่ายๆ ว่า ช่วงกิจกรรมเข้าจังหวะน่ะแบบที่ผิวกายทาซันแทนอยู่ริมทะเล และฮอร์โมนทุกอย่างตื่นพร้อมเต็มที่เพื่อเผาผลาญแคลอรี่ ในการค้นหาซอกมุมหลืบหรือของที่ยื่นได้ใต้ร่มผ้าต่างๆ กลิ่นอายรวมๆ มันเป็นอย่างไง นั่นแหละ ช่วงนี้บอกเล่าแบบนี้เลย ภาพก็มากันเต็มๆ เลยจ้า

เมื่อกลิ่นโทน Sex ทั้งหลายค่อยๆ เฟดตัวเองลงมาเรื่อยๆ จนเริ่มมีโทนอบอุ่นออกทางวานิลลาติด Smoky หน่อยๆ กลิ่นยางไม้ที่ลุ่มลึกอบอุ่นปนหวานแนวๆ กำยาน Benzoin และ Myrrh กลิ่นโทนแอมเบอร์ลึกๆ กลิ่นไม้หอมครีมมี่ติดแห้งที่เริ่มแทรกตัวขึ้นมากลายเป็นตัสหลักในการเดินกลิ่น โดยที่ยังมีกลิ่นโทนชะมดเช็ดหรือ Civet ที่ให้ความ Animalic สาบเร้ากับ Ambergris ที่ให้อารมณ์ผิวกายติดเค็มนวลที่ยังคงเป็นสายสนับสนุนอยู่ ก็เป็นการปรับโทนเข้าช่วงท้ายของน้ำหอม ที่จะเริ่มมีลักษณะติด Vintage เบาๆ แบบสายอบอุ่นปนเย้ายวนเป็นหลักแล้ว กลิ่นจะไม่ได้ล่อลวงนัวลุกล้ำจัดๆ อะไรแบบช่วงกลางแล้ว แต่ยังคุมโทนความดาร์กและ Animalic เป็นฐานกลิ่น โดยให้ความอบอุ่นแบบกลิ่นไม้หอมเจือวานิลลาติดโทนแห้งที่มีความหวานประปราย แอบมีกลิ่นซันแทนอ่อนๆ กับกลิ่นดอกไม้ Immortelle คลออยู่อ่อนๆ ด้วย อารมณ์กลิ่นไม่ได้อับนัว แต่มีความปลอดโปร่งในโทนอบอุ่นมากขึ้น อ่ะ นึกภาพตาม ก็เสร็จกิจกรรมแล้วซบกอดกันให้ความอบอุ่นปนหวาน พวกกลิ่นอับเสียดสีชื้นๆ อะไรมันก็ระเหยไปเกือบหมดแล้วน่ะสิจ้ะ

เหมาะสำหรับ - Unisex กลิ่นมีความกลางๆ ที่แตะได้ทั้งหญิงและชาย เพราะกลิ่นจะมีมิติที่สลับสับเปลี่ยนเดี๋ยวบางวูบมาออกทางผู้หญิง แต่พอดมอีกทีมันก็ผู้ชายได้นี่นา เช่นนั้น Sex มันคนเดียวไม่ได้ มันก็ Unisex ไปนั่นแหละ ซึ่งบอกเลยกลิ่นนี้มีความยากในการใช้สูง เพราะไม่ได้เข้ากับยามทางการและออกกำลังกายแบบเข้าฟิตเนตเข้าคลาสเต้นแต่อย่างใดเลย และอย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอม Niche ที่มีความซับซ้อนมาพอสมควรจะเข้าใจกลิ่นได้ง่ายขึ้น ไม่งั้นเพียงแต่ได้กลิ่นช่วงต้น อาจจะแบบว่า “กลิ่นอะไรของมันวะเนี่ยเอาได้” ซึ่งควรใช้โดยดูตามความเหมาะสมแล้วกัน (ส่วนตัวใส่อยู่บ้าน ใส่ไปเดินเล่นห้าง และแอบใส่ไปทำงาน Office แบบน้อยสเปรย์ได้อยู่นะ) ส่วนยามค่ำคืนถ้ามั่นใจใส่ไปท่องราตรี อันนี้ก็จัดไป หรือจะใส่เย้ายวนใครแบบที่สเปรย์อย่าเยอะมันเข้มข้นมาก ก็อาจจะสร้างความเซ็กซี่ดึงมาดูดส่วนบุคคลได้เลยนะนั่น

ความทน - มากกกกกกกกก คือ ข้ามวันจ้ะนายจ๋า มัน Pure Parfum อ่ะ ความเข้มข้นมันสูงมาก มันก็ติดตั๋งหนับมากจริงๆ ขนาดเสื้อที่สวมแบบไม่ได้ฉีดเข้าเสื้อตรงๆ ซักแล้วกลิ่นยังติดแบบเบาๆ อยู่เลย เออออ เด็ดตรงนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเสมอต้นเสมอปลายเลย เปิดกระจายดียังไง ก็ลากยาวแบบนั้นไปจนถึงปลายช่วงกลาง ที่จะเริ่มเบาลงมาเป็นกึ่งออร่ารอบๆ ตัวกึ่งปานกลางไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 12 ชม. ก็ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนกว่าจะอาบน้ำแล้วจะกลายเป็นกลิ่นติดผิวเบาๆ

สรุป - จากที่ถ่ายทอดและบอกเล่ากลิ่นน้ำหอมมาหลายปี ต้องบอกว่านี่คืออีกกลิ่นที่เขียน Review ยากมากจริงๆ เพราะความซับซ้อนที่สลับเลเยอร์หลากหลายโทนในความเป็น Sex and the Sea มันมีมิติที่หลากหลายมาก ซึ่งแม้ว่าเป้าหมายปลายทางของกลิ่นคือ ความอีโรติคริมหาดที่นัวกันอย่างเต็มแม็กซ์ แต่ลูกเล่นของกลิ่นมันสามารถทำให้ต้องเลือกได้เลยระหว่าง “รักหรือเกลียด” เพราะในมุมชาวตะวันตกกลิ่นนี้จะสร้างอารมณ์ที่ไล่เรียงคำว่า Sex ริมหาดในแบบฝั่งชาวตะวันตกได้ลงลึกอย่างมีศิลปะถึงกลิ่นอายที่ควรจะเป็นได้เห็นภาพและเป็นธรรมชาติจากสเต็ปสู่สเต็ปได้แบบ อืมมมมม วู้ววววว เลย แต่ถ้าคนไทยอย่างเราๆ อาจจะไม่ได้คุ้นชิน และอาจจะนึกถึงกลิ่นอายโทนพลาสติคหรือกลิ่นเอียนๆ จนแพ้บายไปแบบไม่รอช่วงท้ายได้เลย ซึ่งส่วนตัวขอเลือกคำว่า “รัก” ให้กลิ่นนี้ เพราะมันสร้างภาพให้รู้สึกได้ชัดจริงๆ ว่าถ้าจะต้องฟาดฟันอะไรกันริมหาดกับชาวตะวันตกซักคนมันก็ต้องกลิ่นแบบนี้แหละ 555555

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.fragrantica.com/perfume/Francesca-Bianchi/Sex-and-the-Sea-40883.html


วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Von Eusersdorff - Classic Patchouli


Von Eusersdorff - Classic Patchouli

จากรุ่น Classic Vetiver ที่ผ่านการเล่ากลิ่นไปแล้ว ความอยากรู้อยากดมก็ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเนื้อกลิ่นที่แบรนด์ Von Eusersdorff ได้นำเสนอถือว่าดีงาม เช่นนั้นก็ได้เวลาเสาะหากลิ่นใหม่ จนได้มาเจอรุ่นที่เรียกว่าได้รับการกล่าวถึงเป็นลำดับต้นๆ ของแบรนด์และได้รับคำชมจากชุมชน Database น้ำหอมต่างๆ มากเลยทีเดียวอย่าง Classic Patchouli เช่นนั้น เจอแล้ว หามาใช้แล้ว ก็ต้องบอกต่อสิว่ารุ่นนี้กลิ่นจะเป็นอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นมาพิมเสนก็เป็นตัวเอกมาทักทายรอบทิศกันก่อนเลย ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีโทนติดขมเจือเปรี้ยวติดโทนแห้งปนปร่า Spicy หน่อยๆ จากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) วูบขึ้นมาก่อนปูทางตามติดด้วยพิมเสนที่ติดดาร์กกึ่งชอคโกแลตหน่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นอยู่ระหว่างความสดชื่นติดดาร์กดินๆ Earthy ซึ่งเรียกว่ากลิ่นเปิดสร้างความเป็นพิมเสนที่มีเสน่ห์กันตั้งแต่เริ่มในการเป็นโทนดึงดูดลุ่มลึกที่ดึงเสน่ห์ของความเป็นพิมเสนออกมาได้ชัดเจนมาก

และพิมเสนก็ยังแรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่ เพราะจะกลายเป็นตัวเอกหลักกันอย่างเต็มๆ แบบที่ไม่มีโทนอื่นมาแย่งซีนได้ในช่วงกลาง ที่ช่วงนี้ความเป็นพิมเสนจะเทคโอเวอร์ทุกสิ่ง กลิ่นจะยืนพื้นที่โทนออกทางติดแห้งกึ่งดินแบบโทน Earthy เป็นหลัก ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ปร่า Spicy ชัดๆ แบบสายยาจีนฉุนๆ จะไม่ได้สะอาดระเรื่อแบบพิมเสนที่เกลากลิ่นมาแล้ว จะไม่ได้ออกทาง Dirty ดาร์กจัดๆ แต่จะมีความกึ่งกลางกำลังดีที่สมดุลย์มากในการดึงเอาความเป็นธรรมชาติติดดิบห่ามอ่อนๆ เจือหวานแห้งให้อารมณ์น่าค้นหากึ่งลุ่มลึกปนขลังหน่อยๆ อย่างมีชั้นเชิงและมีเสน่ห์ที่ควรจะเป็น รวมถึงคงตัวยาวไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอมเลย เพราะกลิ่นจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงกลางมากนักในเรื่องของการชูโรงกลิ่นพิมเสนที่ยังคงให้ความลุ่มลึกมีความหรูหราและมีภูมิอยู่ เพียงแต่กลิ่นจะลดทอนลงมาในระดับหนึ่ง ไม่ได้มีความเป็นกลิ่นออกทางติดดิน Earthy เท่าไหร่แล้ว เพราะจะมีกลิ่นโทนวานิลลาค่อนไปทางแป้งติดเครื่องเทศอบอุ่นแนวๆ ถั่วตองก้าเบาๆ เคล้ากลิ่นไม้หอมติดจืดครีมมี่รองพื้นกลิ่นอยู่ ซึ่งกลิ่นจะผสมผสานกันเป็นอย่างดีในการเป็นพิมเสนที่นวลรื่นจมูกแต่ยังมีมิติลุ่มลึกของกลิ่นที่ให้ความอะโรม่าเฉพาะตัวในความหวานกึ่ง Herbal สมุนไพรที่ให้ความหรูหรากึ่งขรึมขลังและน่าค้นหาอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมความเป็นโทนกึ่งแป้งกึ่งไม้หอมนวลๆ เสริมเบาๆ เข้ามาให้กลิ่นมีความอวลดึงดูดหน่อยๆ อย่างมีชั้นเชิงเข้าไปนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเพราะกลิ่นมีลักษณะที่เป็นกลางๆ แตะได้หมดทั้งชายและหญิง ซึ่งจะให้ความสุขุม ขรึม ดึงดูดและมีเสน่ห์เฉพาะตัวในเวลาเดียวกัน ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบวางตัวดีหน่อย ซึ่งกลิ่นนี้ให้ตัดทิ้งการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ รวมถึงออกกำลังกายไปได้เลยไม่เข้าทางอย่างมากจริงๆ เพราะคนรอบตัวอาจจะคิดว่ากลิ่นยาสมุนไพรแห้งๆ เดินได้เข้าให้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นออกงานแบบทางการจะดีที่สุด

ความทน - มากกกกกกก เรียกว่า ลุกขึ้นปรบมือให้ยาวๆ เลย เพราะทนยาวไปที่ 15 ชม. ได้สบายมาก แบบที่ไม่ต้องมีค่าเฉลี่ยยังไงก็ทนยาวตลอดวัน

การกระจาย - ดีมากและคงตัวกันยาวไปจนถึงช่วงกลางเลย ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีกันยาวไปจนถึงช่วงท้าย เมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. จะเริ่มกระจายปานกลางไปเรื่อยๆ พอถึง 12 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป

สรุป - หนึ่งในกลิ่น Patchouli หรือพิมเสนที่มีความสมดุลย์มากๆ ให้ความเป็นโซน Exotic แนวๆ สมุนไพรก็ได้ ให้ความ Classic มีภูมิปนน่าค้นหาก็สามารถ และแตะความ Modern ได้หน่อยๆ ในการเป็นสาย Niche Perfume ที่เก๋ๆ แนวๆ ก็ยังได้ สมแล้วที่เป็นตัวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของแบรนด์นี้

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://en.parfumaria.com/classic-patchouli-100-ml

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Mugler - Aura Sensuelle


Mugler - Aura Sensuelle

ขวดรูปผลึกหัวใจสีเขียวมรกตที่ออกมาเขย่าตลาดวงการน้ำหอมเมื่อปี 2017 ทำให้ทุกคนที่อยู่ในแวดวงต่างก็สนใจในสิ่งที่แบรนด์ Mugler (Thierry Mugler) ได้สร้างสรรค์ Collection น้ำหอมไลน์ใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือ Aura ซึ่งก็แน่นอนว่ามาหมดทั้งรักและเมินในเรื่องของกลิ่น แต่ขวดยังไงส่วนใหญ่ก็ยอมใจในเรื่องความสวย โดยเฉพาะขนาด 50 และ 30 ml แต่

จะไม่ได้มากล่าวถึงความเป็น Aura ในรุ่นตั้งต้น เพราะยังไม่มีโอกาสได้ลองแบบเต็มๆ แต่ขอข้ามมารุ่นล่าสุดของไลน์นี้ที่พึ่งวางจำหน่ายเมื่อปี 2019 อย่าง Aura Sensuelle ที่ปรับเปลี่ยนสีขวดหัวใจจากเขียวมรกตมาเป็นขาวเหลือบม่วงที่งามไปอีกแบบ เช่นนั้นกลิ่นจะมาในรูปแบบไหนก็เล่าออกมาได้แบบนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นเรียกว่าทำเอาทึ่งพอสมควรกับการเป็นกลิ่นใบอบเชยที่ชัดเจนไม่น้อย เพราะกลิ่นจะไม่เหมือนกับเปลือกอบเชยที่จะให้ความเผ็ดหวานอุ่นร้อนลึก แต่จะให้ความเขียวเจือหวานหอมปนปร่าซ่าจมูกหน่อยๆ ซึ่งจะมาชัดเจนมากเลยทีเดียว และก็มีโทนสร้างบรรยากาศที่ให้ความเปรี้ยวขมเจือปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เข้ามาคลุกเคล้าเข้ากันกับความเขียวหอมของใบอบเชยด้วย ทำให้ช่วงต้นมีลูกเล่นของความเขียวหอมเจือสดชื่นเนียนๆ ได้ดีมาก แต่เพียงชั่วขณะ กลิ่นที่เริ่มแทรกขึ้นมาค่อนข้างไวพอสมควรเลยอย่างดอกพุด (Gardenia) จะเริ่มปรับโทนกลิ่นให้มีความนวลเจือดอกไม้ขาวรองพื้นด้วย ทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะมีมิติกลิ่นที่ชัดเจนพอสมควรเลย คือ เขียวสดชื่นอมหวานนวลรองพื้น แต่ให้ความซ่าปรายกลิ่นประปรายที่บอกอารมณ์ชัดเจนว่าเป็นโทนกลิ่นที่จะเข้ากับผู้หญิงเต็มๆ แถมยังไม่เหมือนใครตรงกลิ่นซ่าๆ เจือเมทัลลิคเนียนๆ นี่แหละ

เมื่อโทนกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นดอกพุดเริ่มเขยิบให้จับต้องได้ชัดมากขึ้น รวมถึงโทนเขียวสดชื่นที่เริ่มมีมิติมากกว่าความเป็นโทนใบอบเชยแล้ว ช่วงน้ำหอมก็เปลี่ยนตามเป็นเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัวที่กลิ่นของดอกพุด จะให้ความนวลรองพื้นแบบที่ไม่ได้ครีมมี่จ๋าๆ แต่อย่างใด เพราะมีกลิ่นดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) เข้ามาแจม ทำให้มีโทนออกทางสะอาดติดเปรี้ยวเจือหวานปลายกลิ่น ซึ่งกลิ่นจะมาเลเยอร์กับโทนเขียวที่ยังคงมีโทนใบอบเชยอยู่ทำให้กลิ่นยังคุมโทนความสดชื่นเจือหวานก็ได้ ความนวลดอกไม้ขาวกึ่งสบู่หน่อยๆ ก็สามารถ ซึ่งช่วงนี้แหละที่อารมณ์กลิ่นจะมีความเย้ายวนเข้ามาชัดเจนมากขึ้นเข้าทางตามชื่อรุ่นว่า Sensuelle ได้ค่อนข้างชัดเจนอยู่ เพียงแต่จะไม่ได้พีคหรือจัดหนักนัก ออกทางวางตัวดีและมีลูกเล่นเก๋ๆ เสียมากกว่า และเมื่อกลิ่นโทน Musky ค่อนๆ เสริมเข้ามามากขึ้นตามลำดับ กลิ่นก็เริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายที่แน่นอนว่าความเขียวหอมหวานสดชื่นยังมีอยู่ประปราย แต่สิ่งที่คลอผิวหลักเลยคือกลิ่นโทนติดแป้งเจือ Musk เคล้ากลิ่นดอกไม้ขาว โดยมีตัวสร้างมิติกลิ่นไม้หอมโทนสว่างปนครีมมี่อ่อนๆ ติดจืดหอมของไม้จันทน์หอมเข้ามาสมทบด้วย ซึ่งทำให้ช่วงนี้นอกจากความเย้ายวนแบบเก๋ปนวางตัวดีที่ยังตามมาจากช่วงกลางแล้ว ยังมีความเรียบหรูปนหวานมีระดับเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งถือว่าคุมโทนการเป็นน้ำหอมโทนสายเย้ายวนที่มีลูกเล่นที่น่าสนใจคุมโทนการเป็นกลิ่นอายความเขียวตามด้วยสายนวลแบบที่ไม่เหมือนใครได้อย่างลงตัวมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นไม่ได้สร้างอารมณ์ถ้ารักก็ฟิน ถ้าเกลียดก็ยี้ แบบรุ่นต้นตระกูลแต่อย่างใด ซึ่งสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งได้บ้างนิดหน่อย และออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ ไปเลยจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนจัดไป เพิ่มสเปรย์หน่อยท่องราตรีได้ โรแมนติคก็ได้ ชิลล์ๆ แต่มีเสน่ห์ก็สามารถ

ความทน - ดีงามเลยทีเดียวกับ 8 ชม. ขึ้นไป จนถึง 12 ชม. เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเชื่อถือได้ไม่ยากว่าความทนมาชัดจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีซัก 1 - 2 ชม. ถึงค่อนเป็นปานกลางตามด้วยออร่ารอบๆ ตัวที่มาในช่วงท้าย พอพ้นซัก 8 ชม. ก็เป็น Skin Scent เรียบร้อย

สรุป - หนึ่งในตัวใช้ง่ายของโซน Aura เลย เพราะกลิ่นไม่ได้แปลกจ๋าเกินไป แต่ให้ความเรียบหรูปนเก๋ๆ มีเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาได้อย่างดีมาก ที่สำคัญขวดสวยจริงจัง ถือเป็นของสะสมได้เลย

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://inter.mugler.com/fragrance/women-s-perfumes/aura-mugler/perfumes/aura-mugler-eau-de-parfum-sensuelle-80053733.html


วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Chopard - Rose Malaki


Chopard - Rose Malaki

ถ้าพูดถึงแบรนด์นาฬิกาและเครื่องประดับเน้นสายจิวเวลรี่ที่ชื่อก้องโลกที่ความหรูหรามาเต็ม หนึ่งในนั้นต้องมี Chopard รวมอยู่ด้วยเสมอ และแน่นอนว่าความดีงามไม่ได้จบแค่สายเครื่องประดับที่โดดเด่นเพียงอย่างเดียว แบรนด์ยังมีน้ำหอมด้วยเช่นกัน และจากที่เคยเล่ากลิ่นน้ำหอมชายของแบรนด์นี้ไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว กับรุ่นที่แบรนด์ Tribute สร้างสรรค์ขึ้นจากการเป็น Partner สนับสนุนการแข่งรถย้อนยุคอย่าง 1000 Miglia เมื่อห่างไปนานก็ขอกลับมาซึมซับความหอมของแบรนด์นี้อีกครั้ง และก็ขอเข้าเรื่องเลยดีกว่ากับรุ่นที่มีความน่าสนใจกับการเป็นกลิ่นอายสายกุหลาบลุ่มลึกที่น่าค้นหาโดยจะสร้างสรรค์มาในลักษณะไหนก็ว่ากันที่รุ่นนี้เลย Rose Malaki

เฉลยกันตั้งแต่แรกเลยว่ากุหลาบจะเป็นตัวเอกหลักที่เดินกลิ่นแบบยาวๆ ตั้งแต่ต้นยันจบ แบบที่ให้สร้างอารมณ์กลิ่นที่สอดรับและส่งต่อโทนกลิ่นที่เป็นผืนเดียวกันแบบไล่เฉดกลิ่นได้อย่างน่าสนใจมาก ซึ่งเริ่มจากการเป็นโทนเครื่องเทศสายหวานปนขมลึกกึ่งหนังเนียนๆ เคล้ากลิ่นกุหลาบที่มาสายดาร์ก แต่ไม่ได้เข้มจัดจนเกินไป เพราะกลิ่นค่อนข้างคุมโทนกำลังดีเป็นพื้นฐานก่อน ซึ่งวูบกลิ่นถัดมาก็จะมีโทนออกทางไม้หอมแนว Oud แบบกลิ่นเนื้อไม้ลึกๆ ปนควันหน่อยๆ เข้ามาร่วมทีมอย่างไว ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้เป็นลักษณOud ที่แท้ทรู แต่จะเป็นการผสมผสานกลิ่นโทนไม้แห้งแปร่งๆ แนวต้นปาปิรัสแห้งกับกลิ่นเครื่องเทศสายอวลเผ็ดเย้าหน่อยๆ แถมมาเจอกับหญ้าฝรั่นที่เป็นตัวหลักอีก เลยจะมีอารมณ์แนวๆ แบบ Oud Accord ที่ผสมผสานเป็นกลิ่น Oud ติดแห้งปนควันที่ดาร์กน่าค้นหา โดยที่กลิ่นไม่หนักหน่วงเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันทำให้กลิ่นในช่วงต้นกลายเป็นกุหลาบสายดาร์กน่าค้นหาแบบชัดเจน และบางวูบในช่วงนี้จะมีอารมณ์ติดสังเคราะห์กึ่งคมกึ่งอึนๆ อยู่บ้าง แต่ถ้ารอซักนิด ที่เหลือคือความงามของกลิ่นที่จะค่อยๆ เปิดตัวออกมา เริ่มที่

ความเป็นกุหลาบแดงกำมะหยี่ลุ่มลึกเคล้าควันไอเนียนๆ ในเนื้อกลิ่น ซึ่งกลิ่นกุหลาบจะฉายแสงออกมาชัดเจนแบบที่ไม่ได้มาในโทนกุหลาบคลาสสิคแต่อย่างใด ให้ความเป็นเป็นลักษณะกุหลาบแดงนวลอวลรื่นจมูกที่มีความเย้ายวนแบบที่ภาษากายไม่ต้อง ภาษากลิ่นจะไปจูงใจชาวบ้านแทน เนื้อกลิ่นในช่วงนี้จะจับต้องได้ถึงความหวานโปร่งดึงดูดที่เสริมโทนกลิ่นกุหลาบและหญ้าฝรั่นที่ตามมาจากช่วงต้นได้ดีมากอย่างยาสูบ และมีโทนรองพื้นอย่างหนังเคล้ากับกลิ่นติดควันไอไม้ที่ตามมาจากตอนต้นที่ทำให้กลิ่นมีความ Sexy มีระดับเสริมความเป็นกุหลาบที่เย้ายวนแบบหน้านิ่งแต่จริงๆ Sex Appeal มาเต็มทุกสโตรก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะคงตัวเป็นไฮไลท์ไปซักระยะ ก็จะเริ่มจับต้องได้ถึงโทนหวานอวลที่ชัดมากขึ้นตามลำดับค่อยๆ แทรกผสมผสานเนียนๆ เข้ามา จนรู้ตัวอีกทีก็เปลี่ยนช่วงเป็นช่วงท้ายเป็นที่เรียบร้อย ที่กลิ่นจะมีความหวานเย้าในความดาร์กมีเสน่ห์ติดอวลกำลังดี เพราะจะมีวานิลลาเข้ามาร่วมด้วยทำให้กลิ่นมีความเป็นกุหลาบติดวานิลลาหวานนวล เพียงแต่กลิ่นไม่ได้ถลำลงไปในสายกลิ่นขนมนัก เพราะมีกลิ่นโทนไม้ซีดาร์โปร่งๆ เข้ามาร่วมเกลากลิ่นให้กลิ่นมีความสมดุลย์พอดีในการให้ความหวานอวลกุหลาบวานิลลาติดกลิ่นไม้หอมปนดาร์กลุ่มลึกของหนังแกมหญ้าฝรั่นบางๆ ที่ยังพอจับต้องได้เบาๆ สร้างความอุ่นลึกในกลิ่นอยู่ด้วย ทุกอย่างจะไล่เรียงจากดาร์กเย้า ลุ่มลึก Sexy มีระดับ และปิดท้ายด้วยความหวานอวลรุมอ่อนๆ มีเสน่ห์ โดยทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเป็นโทนหรูหราดึงดูดตั้งแต่ต้นยันท้ายเลยทีเดีย

เหมาะสำหรับ - แต่ละฐานข้อมูลต่างลงไม่เหมือนกัน บ้างก็บอกว่าผู้หญิง บ้างก็บอกว่า Unisex และบ้างก็บอกว่าน้ำหอมผู้ชาย แต่ขอฟันธงกันตรงๆ ว่า กลิ่นนี้มันเสริมบุคลิกผู้ชายได้ชัดเจนมาก เลยจับมาในโซนผู้ชายที่พอค่อนไป Unisex ได้เลย ซึ่งกลิ่นนี้เหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป โดยที่เน้นสร้างออร่าหรูหราดึงดูดแบบเนียนๆ เป็นสำคัญ ใส่ทำงานยังได้เลย กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงเกินไปแบบแนวตะวันออกกลาง ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นไม่เหมาะกับการใส่ไปกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายแต่อย่างใด เพราะโทนกลิ่นไม่ได้เอื้อมาทางนี้ ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานได้เลย กลิ่นเข้าทางกับชุดแนวออกงานสายหรูไม่น้อย หรือจะใส่เพื่อโรแมนติคก็ได้ แต่รอช่วงกลางๆ เป็นต้นไปจะดีที่สุด ส่วนใส่ไปท่องราตรี เน้นแบบเท่ห์ๆ เพิ่มสเปรย์หน่อยก็สร้างออร่าทางกลิ่นที่น่าสนใจได้อยู

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. ที่ยังรับรู้ได้ว่ามีกลิ่นให้จับต้องอยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดทอนลงมาที่ปานกลางซักระยะก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป ซึ่งพอพ้นซัก 6 ชม. ก็เป็น Skin Scent เน้นติดผิว

สรุป - กลิ่นนี้อารมณ์เหมือนเห็นลูกเสี้ยวตะวันตกกับตะวันออกกลางในโทนเสื้อผ้าสีดำที่ดูนิ่งๆ แต่พอพิศจริงๆ แล้ว Sex Appeal ปล่อยออกมาแบบไม่หยุดไม่หย่อนกันได้เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นการเอาโทนตะวันออกกลางมาปรับให้ใช้ง่ายมากขึ้นเยอะ โดยที่ยังคงความหรูหรา ไฮโซ มีระดับและทันสมัยออกมาแบบคนตะวันตกได้ชัดเจน รวมถึงถ้าใครต้องการเปิดทางสู่น้ำหอมที่มีความเป็น Oud กับกุหลาบแบบใช้ง่าย โดยที่ไม่หนักเกินไป ตัวนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ อีกหนึ่งตัวได้เลย

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.parfumo.net/Perfumes/Chopard/Rose_Malaki


วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Guerlain - Derby (2012)


Guerlain - Derby (2012)

ถ้าพูดถึงน้ำหอมชายที่ยอดเยี่ยมและเหนือกาลเวลาเป็นลำดับต้นๆ ของโลก แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมี 
Guerlain - Derby แน่ๆ เพราะเป็นหนึ่งในตำนานน้ำหอมชายที่สร้างความสุภาพบุรุษมาดขรึมสไตล์นายหัวแต่ใส่สูทหล่อเข้มหวีผมเรียบแปล้ในสไตล์ Classic ตามสไตล์น้ำหอมยุค 80 ซึ่งแน่นอนว่า Derby โลดแล่นมานานเลยทีเดียว แต่เพราะเทรนด์น้ำหอมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้กลิ่นนี้เลิกผลิตในที่สุด

แต่ในปี 2012 แบรนด์ก็มีการนำเอา Derby กลับมาอีกครั้ง โดยรวมเป็นหนึ่งใน Collection - Les Parisiennes ที่ขวดจะมีกรอบไม้ล้อมรอบ ซึ่งแน่นอนว่าปรับสูตรแน่ๆ เช่นนั้นเมื่อหาเวอร์ชั่นตั้งต้นไม่ได้ เราก็ต้องมาลองกันหน่อยกับ Version ปรับใหม่ในสไตล์ High-End ว่าจะออกมาเป็นในลักษณะใด ก็เล่ากันได้แบบนี้เลย

บอกก่อน - การเล่ากลิ่น Derby จะไม่ได้มีการเปรียบเทียบอะไรกับรุ่นยุค 80 เพราะจำกลิ่นไม่ได้แล้ว แต่จะมาเล่ากลิ่นเฉพาะความเป็น Derby ปรับใหม่แทนเน้นๆ

เปิดต้นกลิ่นมาความ Classic ติดร่วมสมัยในสไตล์โทนกลิ่นสดชื่นติดคมๆ ที่มีความเป็นโทน Citrus ติดขมปร่าซ่าหน่อยๆ จะมาชัดเจนพอสมควร ซึ่งจะมีกลิ่นโทนมะกรูดฝรั่ง (Bergtamot) เปรี้ยวจนขมเคล้าความพุ่งๆ ของกลิ่นโทนสารหอมที่ให้อารมณ์ติดโทนสบู่คมๆ ของ Aldehydes เด่นมาเลย แต่สิ่งทีตีคู่ขึ้นมาติดๆ คือ ลักษณะโทนกลิ่นแบบ Oakmoss ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ต้นให้ความแมนเท่ห์กันชัดเจนเพียงแต่ค่อนมาทางโทนเขียวเข้มและมีความเป็นธรรมชาติพอสมควร ยัง ยังไม่พอมีซ่อนโทนกลิ่นหนังแซมๆ ให้จับต้องได้อยู่ด้วย ทำให้ช่วงต้นนี่จะได้อารมณ์กลิ่นแมนๆ สไตล์นายหัวที่ทั้งสดชื่นแลมาดเท่ห์ติด Classic ในเวลาเดียวกัน จนเมื่อเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายโทนปร่าติดพริกไทยกึ่งเขียวและเครื่องเทศโทนปร่าเผ็ดแต่มีความลึกของกลิ่นเสริมเข้ามาให้จับต้องได้ด้ว

การเริ่มปูทางเข้าสู่ช่วงกลางก็เกิดขึ้นต่อเนื่องทันที โดยโทนกลิ่นจากช่วงต้นจะเริ่มลดทอนความเป็นโทนติดสบู่คมๆ ฟุ้งอวลของ Aldehydes ลงและความปร่าเปรี้ยวปนขมอ่อนๆ ให้พอจับต้องได้ของ Bergamot จะมีอยู่แบบประปรายสร้างบรรยากาศที่ให้ความติดโทนสดชื่Classic อยู่เป็นฉากหลัง กลิ่นโทนปร่าพริกไทยนวลๆ เจือเขียวเบาๆ ปนดอกไม้ซึ่งเป็นลักษณะของดอกคาร์เนชั่นเข้ามาเสริมมากขึ้นจนเรียกว่าเป็นตัวเด่นเดินกลิ่นหลักเลยก็ว่าได้ โดยที่กลิ่นโทนหนังที่ยังคงอยู่พร้อม Oakmoss ที่สร้างความเท่ห์จะมีความพอเหมาะพอเจาะตีคู่ไปของคาร์เนชั่นได้ดีมาก จนเมื่อโทนฟุ้งสดชื่นเริ่มจางไป เนื้อกลิ่นก็จะเริ่มมีโทนลึกๆ อวลกำลังดีกึ่งอบอุ่นหน่อยๆ ปนไม้หอมกึ่งยางไม้ให้จับต้องได้เข้ามาร่วมด้วย และเริ่มมีกลิ่นพิมเสนมาให้รู้สึกเย้าจมูกเบาๆ ก็ฟังธงกันอย่างเต็มๆ ได้ไม่ยากเลยว่าช่วงกลางนี่คืไฮไลท์กันอย่างแท้จริงกับกลิ่นอายความเป็นโทน Chypre ที่ไล่เรียงความสดชื่นจาก Bergamot สู่ไม้หอม และปิดท้ายด้วย Oakmoss กับพิมเสนในสไตล์ที่หรูหราเคล้ากลิ่นโทนหนังกับคาร์เนชั่นที่เจือกันอย่างลงตัวไม่ดิบห่ามเกินไป ให้ความเท่ห์และความสุขุมในสไตล์สุภาพบุรุษกันชัดเจนมาก โดยที่มาในโทนร่วมสมัยที่ได้ทั้งความ Classic และ Modern ติดขรีึมได้ดีมากจริงๆ จนเมื่อจับต้องได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นพิมเสนที่ชัดขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นออกทางติดเขม่าควันเนียนๆ มาแบบไม่หนักเสริมเข้าในกลิ่น ก็จะเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่ทุกอย่างจะลดทอนลงมาผสมผสานกันอย่างสมดุลย์ โดยจะได้ทั้งความอบอุ่นกำลังดีจากโทนไม้หอม เคล้าโทนหนังที่ไม่ได้ดิบห่ามเพราะติดปร่าคาร์เนชั่น เสริมด้วย Oakmoss ติดเขียวปนกลิ่นควันอ่อนๆ ที่ให้ความน่าค้นหาแบบสุภาพบุรุษที่ไม่กรุยกรายฟุ้งเกินไป และพิมเสนที่ให้ลูกเล่นเรื่อจมูกอย่างมีเสน่ห์ ปิดท้ายคลอผิวกันยาวๆ ในการเป็น Derby ที่งดงามทางกลิ่นมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายวัยทำงานเป็นต้นไป กลิ่นเสริมความเป็นสุภาพบุรุษที่ได้ทั้ง Classic และร่วมสมัยเลย เข้าทางการใส่ทั้งทางการและทั่วไปแบบที่คุมโทนความเป็นสุภาพบุรุษที่มีทั้งความแมน ความเท่ห์ ความเย้ายวน และอบอุ่นมีเสน่ห์ จะมีก็แต่การออกกำลังกายที่ให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยใส่ออกงานนี่เข้าทางและเข้าทีดีมากมาย และเอาจริงๆ ก็ใส่ไปท่องราตรีได้อยู่ ถ้าอัดสเปรย์หน่อย แต่อารมณ์กลิ่นจะไม่ได้ไปแข่งกับใครมากนัก อาจจะแพ้พวกสายแน่นๆ เอาได้

ความทน - 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ไม่หนีไปไหน ยอมเลย ความทนงดงามมากจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และค่อนข้างคงตัวยาวมาถึงช่วงกลาง ก่อนจะผ่อนลงมาเป็นปานกลาง แล้วก็ปิดท้ายด้วยการเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป
สรุป - หนึ่งในความงามทางกลิ่นที่สร้างความรู้สึกในการใช้งานไล่เรียงจากความ Classic สู่ความร่วมสมัยที่เหนือกาลเวลามากจริงๆ เป็นอีกหนึ่งที่ปรับสูตรแล้วความดีงามยังคงมีมากมายโดยที่ไม่ตกยุคเลยแม้แต่นิดเดียยว ยอดเยี่ยมมาก

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credit https://www.guerlain.com/uk/en-uk/p/derby-eau-de-toilette-P017090.html


วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Zara - Zara Emotions: Fleur d’Oranger


Zara - Zara Emotions: Fleur d’Oranger

Fleur d’Oranger เป็นหนึ่งรุ่น Collection - Zara Emotions ที่ได้ Jo Malone CBE (ตัว Jo Malone เองในการเป็น Jo Loves ที่ไม่ได้ติดสัญญาใดๆ กับ Jo Malone London ที่ขายให้ Estee Lauder ไปนานแล้ว) ที่เน้นโทนกลิ่นสาย Citrus กึ่งดอกไม้ขาว ที่เน้นความเป็นดอกส้มเป็นหลัก และแม้ว่ากลิ่นอายโทนนี้จะเป็นกลิ่นสายมหาชนที่แทบทุกแบรนด์ในโลกต้องมีเป็นหนึ่งในตัวชูโรง ซึ่งจะมีทั้งแตกต่างกันไป หรือใกล้เคียงกันก็มาก เช่นนั้น เมื่ออยากรู้ว่า Jo Malone จะทำกลิ่นนี้ออกมาอย่างไรในความเป็น Zara ก็ต้องพิสูจน์และบอกต่อกันหน่อยแล้วล่ะ

เปิดตัวด้วยโทนกลิ่นที่ทำให้คนที่ชอบกลิ่นอายดอกส้มที่่สกัดด้วยไอน้ำหรือ Neroli (ซึ่งจะให้ความเขียวเจือเปรี้ยวสดชื่นมีปลายกลิ่นเป็นโทนดอกไม้ขาวหน่อยๆ นั้น) โดนตกกันได้ในทันที เพราะจะให้ความเป็นโทนสดชื่นแบบดอกส้มติดฉ่ำมีความคมเปรี้ยวแกมรื่นรมย์ได้ดีมาก ซึ่งแน่นอนว่าในเนื้อกลิ่นจะมี Neroli ที่ชัดเจน แถมด้วยกลิ่นติดเขียวหน่อยๆ ของกิ่งก้านส้มที่เป็นตัวสนับสนุนชั้นดีที่ทำให้กลิ่นดอกส้มมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงมีโทนออกทาง Citrus ติดเขียวขมเล็กๆ เบาๆ เนียนๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เคล้ากลิ่นออกทางติดฉ่ำหน่อยๆ ทำให้กลิ่นในช่วงต้นกลายเป็นสาดความเป็น Neroli Cologne ที่เป็นธรรมชาติได้ชัดเจนมากจริงๆ

เมื่อความสดชื่นค่อยๆ ลดทอนลงเป็นเรื่อยๆ กลายเป็นความนวลสะอาดอมเปรี้้ยวเจือหวานปลายกลิ่นจะเข้ามาสมทบกลั้วความหอมเย้าบางๆ ตามธรรมชาติ ก็เข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงดอกส้มรวมตัว + กระดังงา เพราะความเป็น Neroli ที่เปรี้ยวสดชื่นติดเขียวแบบสาย Citrus จะยังคงชัดเจนเป็นมิติแรก ตามด้วยกลิ่นเปรี้ยวอมหวานปลายเจือนวลสะอาดของดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลายหรือ Orange Blossom ที่สร้างออร่าโทนสว่างสีขาวนวล แต่เพราะมีกระดังงาด้วยเลยทำให้ได้ความเย้ายวนอ่อนๆ ที่ไม่ได้จงใจหรือโจ่งแจ้งเนียนเข้าไปด้วย และที่แน่ๆ จับต้องได้ถึงโทนสารหอมที่สร้างทำให้กลิ่นมีความสดชื่นติดดอกไม้ใสๆ อ่อนๆ แนวๆ Hedione เนียนๆ ซึ่งทำให้กลายเป็นข้อดีที่สร้างให้กลิ่นมีความรื่นรมย์ปนสะอาดนวลหวานปลายได้อย่างลงตัวและมีความเรื่อยๆ ให้ความเรียบหรูและมินิมัลได้ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นในช่วงกลางค่อนข้างเสถียรกันยาวไปพอสมควรในการเป็นดอกส้มสะอาดๆ มีระดับ จนแม้ว่าเข้าช่วงท้ายแล้วกลิ่นนี้ก็ยังคงเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นอยู่ เพียงแต่จะลดทอนความสดชื่นลงมาเป็นสะอาดระเรื่อๆ เพราะมีโทน Musk เบาๆ เข้ามาเนียนในเนื้อกลิ่นมากขึ้น แต่ไม่ได้เทคโอเวอร์แต่อย่างใด เพราะเป็นฉากหลังสร้างความสะอาดนวลติดผิวแทน รวมถึงมีกลิ่นโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่ทำให้มีมิติโทนสว่างที่ซ้อนลงไปในกลิ่นของดอกส้มนวลสะอาดมากขึ้น ซึ่งทำให้กลิ่นในช่วงนี้อารมณ์สะอาดแบบเสื้อผ้าสีขาวและบรรยากาศที่สบายๆ จะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ สร้างความรื่นรมย์ เรียบง่าย เรียบหรู โดยที่ยืนพื้นกับการเป็นดอกส้มที่ไม่หายไปไหน ยังคงคุมโทนการเป็นสไตล์ Cologne ไล่จากสดชื่นสู่สะอาดนวลหอมโปร่งๆ ได้อย่างงามๆ และลงตัวเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex เลยเข้าได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพราะพื้นฐานกลิ่นคือความสะอาดเจือเปรี้ยวสดชื่นปนนวลอมหวานอยู่แล้ว แต่อาจจะมีบ้างที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นน้ำหอมโทนดอกไม้เลยทำให้การใช้งานจะเทไปฝั่งผู้หญิงมากกว่าหน่อยก็เท่านั้นเอง ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กวาดหมดทั้งทางการและทั่วไป ใส่ออกกำลังกายก็ได้ แต่รอช่วงท้ายๆ น่าจะลงตัวกว่าเพราะเป็นกลิ่นโทนออกทางสะอาดเป็นหลัก ซึ่งจะเพิ่มความสดชื่นในการออกกำลังกายได้ด้วย ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่แบบสบายๆ สดชื่นรื่นรมย์ หรือใส่เพื่อออกงานแทนจะดีที่สุด เพราะกลิ่นมันสดชื่น อ่อนโยน และเบาไปหน่อย ถ้าจะเอาไปใส่เพื่อท่องราตรี

ความทน - อันนี้แอบเกินคาดมาก เพราะโทนลักษณะนี้มักจะไม่ได้ถึงกับจัดจ้านนัก แต่สามารถลากไปที่ 8 ชม. ได้สบายๆ เลย ถือว่าทำในเรื่องนี้ได้ดีมาก ซึ่งแนะนำให้ฉีดเสื้อที่สวมด้วยความทนจะจัดมากขึ้น แต่ถ้ามองดูเป็นค่าเฉลี่ยตามสภาพผิวที่แตกต่างก็ให้ได้ที่ราวๆ 4 - 6 ชม. ก็ถือว่าลงตัวแล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าสร้างความสดชื่นติดดอกส้มกันอย่างเต็มๆ แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางซักระยะ ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป พอพ้นซัก 6 ชม. แล้วก็จะเริ่มเป็น Skin Scent ตามลำดับ

สรุป - ภาพรวมทั้งหมดทั้งมวลต้องบอกเลยว่า “ดอกส้มตั้งแต่ต้นยันจบ” โดยมีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปและเนียนๆ โดยไม่ทิ้งความเป็นดอกส้มที่่มีความเป็นธรรมชาติ สบายๆ น่ารัก สดชื่นปนนวลสว่าง ได้ลงตัวมากจริงๆ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเด่นจัดๆ ของสาย Zara Emotions ได้เลยล่ะ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.zara.com/cz/en/fleur-d--oranger-90ml---3-04 oz-p20210207.html


Review: Guerlain Homme Eau de Parfum


Guerlain Homme Eau de Parfum

การเปิดศักราชใหม่ของน้ำหอมชาย Guerlain เมื่อช่วงปี 2008 กับการสร้างความเจ้าเสน่ห์ที่ให้ทั้งความสดชื่นและความเป็นเสือซ่อนเล็บอย่าง Guerlain Homme ที่ทำให้แบรนด์มีความ Modern ในเนื้อกลิ่นน้่ำหอมชายและเจาะตลาดลูกค้าใหม่ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งแม้ว่ารุ่นตั้งต้นจะโดน Feedback พอสมควรในเรื่องของความทน จนมีการต่อยอดออกมาเป็น Guerlain Homme Intense และมีรุ่นอื่นๆ ที่ตามออกมาเป็น L’Eau และรุ่นยอดนิยมที่ยังคงวางจำหน่ายอยู่อย่าง L’Eau Boisee ที่กลายเป็นเหลือเพียง 1 เดียวในการไปต่อของ Guerlain Homme เพราะตัวก่อนหน้าต่างทยอยเลิกผลิตไปกันหมด เพราะแบรนด์ไปสร้าง Signature ใหม่อย่างสาย L’Homme Ideal แทน

แต่ตอนนี้ Guerlain Homme L’Eau Boisee ไม่ได้โดดเดี่ยวแล้ว เพราะ Guerlain ได้นำเอาความดีงามของกลิ่นอายสายนี้ เน้นที่ตัว Guerlain Homme Intense กลับมาปรับปรุงใหม่ให้ไฉไลมากขึ้นจนออกมาเป็น Guerlain Homme Eau de Parfum เมื่อปี 2016 และยังคงวางจำหน่ายต่อเนื่องมาในทุกวันนี้ เช่นนั้นปรับใหม่จะเป็นอย่างไร เราจะไขให้ท่านอ่านแบบนี้เลย

แน่นอนและชัดเจนมากกับความเป็น Signature ของ Guerlain Homme ที่ยังมีกลิ่นอายโทน Citrus Cocktail เด่นที่กลิ่นของค็อกเทล Mojito ที่สร้างความสดชื่นและเจ้าเสน่ห์ เพราะไม่ว่าจะกลิ่นมินต์ปร่าหอมโล่ง กลิ่นมะนาวที่ให้ความเปรี้ยวจี๊ดวูบแรกก่อนเป้นกลิ่นอะโรม่าหอมแบบสดชื่น Airy ในอากาศ และกลิ่นเหล้ารัมที่ให้ความกรุ้มกริ่มมาหมดครบทุกเม็ด แต่ในเนื้อกลิ่นจะแตกต่างจากความเป็นตัว Intense เดิมโดยการตัดทอนโทนเปรี้ยวติดแยมเบอร์รี่ของผักรูบาร์ปออกไป แต่ปรับให้มีลักษณะแบบรุ่นตั้งต้น โดยเสริมโทนติดเปรี้ยวขมติดปร่าหน่อยๆ สร้างบรรยากาศ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เข้ามาแทน ทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะได้ความเป็นกลิ่นอายสายค็อกเทลที่กึ่งใสกึ่งอวลกำลังดี สดชื่นก็ได้ ดึงดูดก็สามารถ เข้าทางแบบคนที่ชอบกลิ่นอายสายตัวตั้งต้นจะฟินได้ไม่ยาก

เมื่อโทนกลิ่นเริ่มมีโทนออกทางกึ่งกุหลาบกึ่งเขียวเจือพริกไทยหน่อยๆ ที่เป็นลักษณะของใบเจอราเนียมเสริมเข้ามา ทำให้กลิ่นโทนค็อกเทล Mojito มีลูกเล่นของเขียวเข้ามาเสริม ก็จะปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นช่วงต้นยังคงเป็นตัวหลักเดินนำอยู่ เพียงแต่กลิ่นจะมีความนวลเจือเขียวปร่ามากขึ้น และมีความเบาๆ ของโทนดอกไม้ขาวกึ่งใสๆ ที่ทำให้กลิ่นยังคุมโทนสบายๆ เจืออวลหน่อยๆ แต่ยังมีความหรูหราติด Cool และมีระดับมากในเนื้อกลิ่นอยู่ ซึ่งพอกลิ่นดำเนินไปซักระยะ จะเริ่มจับต้องโทนไม้หอมติดแห้งๆ แอบมีโทนถั่วบางๆ ซึ่งชัดเจนเลยว่าเป็นหญ้าแฝกที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาพร้อมกับโทนไม้หอมโปร่งๆ ติดขรึมของไม้ซีดาร์ กึ่งโทนสารหอมที่ให้โทนไม้โปร่งๆ อย่าง ISO E Super ที่จะมาร่วมกับเขาด้วย จนเมื่อกลิ่นเริ่มพลิกโทนมาเป็นไม้หอมที่เด่นมากกว่าโทนค็อกเทลสดชื่น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นโทนไม้หอมติดปร่ารื่นจมูกของกลิ่น Mojito ที่ผสมผสานกันได้เป็นอย่างดี ซึ่งในช่วงนี้จะจับต้องได้ถึงกลิ่นปร่าเย้าหวานของพิมเสนที่เหลาตัดความดิบออกไปเข้ามาเนียนๆ ประปรายสร้างความพลิ้วในเนื้อกลิ่นร่วมอยู่ด้วย โดยจะให้โทนเรื่อๆ แบบไม้สะอาดเจือปร่าเขียวเย้า เข้าทางสาย Cool มีเสน่ห์มาเต็มเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นมาแบบสดชื่นหล่อเย้ามีเสน่ห์แกมสบายๆ ได้ดีเลย โดยสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นจะให้ความ Cool กับผู้ใช้ได้ดีมากเลยทีเดียว ที่สำคัญกลิ่นนี้ยังครอบคลุมไปถึงการใช้งานยามค่ำคืนได้สบายมาก ถ้าอัดสเปรย์หน่อย ก็สามารถใส่ออกงาน ไปปาร์ตี้ หรือท่องราตรีแบบชิลล์ๆ มีเสน่ห์ได้สบายมาก

ความทน - แก้ตัวได้ดีมากจากรุ่นตั้งต้น แต่คงความดีของความทนจากตัว Intense ได้ชัด เพราะกลิ่นทนได้ 8 ชม. สบายมาก และลากยาวไปได้มากกว่านั้นอีก เพราะส่วนตัวเจอเจอไปที่ 15 ชม. ก็เจอมาแบบกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น มาแบบ Mojito สดชื่นติดอวลปนใสได้ดีมาก แล้วจตะลดลงมาเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป

สรุป - ตัว EDP คือ กึ่งกลางระหว่างความเป็นตัวตั้งต้น กับรุ่น Intense ที่ชัดเจนมาก โดยยังคุมความเป็นเสื้อซ่อนเล็บเจ้าเสน่ห์เนียนๆ ในความสดชื่นได้งามๆ เลย ซึ่งดีใจมากที่แบรนด์ยังให้กลิ่นนี้ไปต่อ แถมยังทนมากขึ้นอีกด้วย

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.guerlain.com/uk/en-uk/p/guerlain-homme-eau-de-parfum-P030339.html