วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review: Cartier – Pasha de Cartier


Cartier – Pasha de Cartier

เป็นอีกรุ่นที่ได้เรียกได้ว่าเป็นจุดร่วมที่ลงตัวเลยทีเดียวระหว่างความเป็น Old School และความ Modern จนทำให้น้ำหอมตัวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลยก็ว่าได้ในแง่ของน้ำหอมที่กลิ่นไม่ตกยุคได้เลยล่ะครับ นั่นคือ Pasha de Cartier 

เปิดที่แรกฉีดกับ Top Notes ที่กลิ่นอายแบบ Old School หน่อยๆ เพราะมีกลิ่นอายแบบสมุนไพรที่แอบติดโทนหวานกับยี่หร่าและเม็ดเทียนสัตตบุษย์ กลิ่นอายจะไม่ได้ถึงกับแน่นมากแบบโทนย้อนยุคจ๋าๆ แม้จะมีกลิ่นอายเขียวสดชื่นของมินท์ที่แน่นหน่อยและโทนซิตรัสมากลั้วก็ตาม ที่สำคัญมีความนุ่มในเนื้อกลิ่นจากลาเวนเดอร์เลยทำให้ได้ส่วนผสมที่ลงตัวแบบสดชื่นติดหวานกำลังดีแทน ส่งต่อให้ Middle Notes ที่กลิ่นโทนสดชื่นติดหวานในตอนต้นยังตามมาอยู่ และลดระดับ Spice ซ่าๆ ของเม็ดผักชี กลั้วกับกลิ้นไม้หอมติดกุหลาบจางๆ ที่ออกมาในโทนที่ไม่หนักและแน่นเกินไปเลยทำให้ออกทางโล่งจมูกสะอาดแบบมีคลาสิค ติดแมนหรูมากกว่าที่จะเป็นโทนแน่นๆ แทนโดยยังมีความสดชื่นแบบสมุนไพรอยู่ให้รู้สึกได้ ปิดท้ายด้วยกลิ่นโทนแมนสะอาดๆ ของ Oak Moss ที่จะมีแบบเขียวๆ สะอาดติดเท่ห์ตีคู่กับกลิ่นนุ่มเย้าของพิมเสน โดยมีกลิ่นอายของไม้จันทน์หอมที่มาแบบกำลังดี ให้ความอบอุ่นแบบกลางๆ มีกลิ่นนุ่มๆ ติดโทนหนังหน่อยๆ ในช่วง Base Notes ซึ่งยิ่งเสริมให้กลิ่นอายออกมาแมนมีระดับ มีภูมิน่าเชื่อถือ และดูเป็นสุภาพบุรุษที่คลาสสิคแบบ Modern เลย ซึ่งสิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ตลอดทุกช่วงน้ำหอมตัวนี้เลยคือ การอยู่ที่จุดกึ่งกลางของการเป็น Old School กับ Modern เพราะจะมาแบบดึงความดีงามของทั้ง 2 อย่างมาผสมกันจนเป็นโทนร่วมสมัยเข้าได้กับทุกยุคทุกสมัยนี่แหละครับ ทำให้กลิ่นอายแบบนี้หนุ่มยุคใหม่ก็ไม่ยี้ ไม่เอ่ยว่า “กลิ่นแก่” และผู้ใหญ่ที่ชอบโทน Old School ก็ไม่ยี้ แถมเผลอๆ จะชอบมากเสียด้วย เพราะมันนุ่มและมีคลาสเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นเข้าถึงง่ายแบบคลาสสิคกับ Modern ได้อย่างลงตัว อัพเกรดให้คนใส่ดูมีระดับทั้งน่าเชื่อถือและทันสมัย สามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งงานทางการยิ่งเข้าทางมาก ส่วนการออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเหมาะมาก ยิ่งงานรับรอง กลาล่าดินเนอร์ หรือพบปะพูดคุยแบบทางการจะแจ่มสุดๆ หรือจะใส่แบบชิลล์ๆ ก็สามารถนะครับ เพียงแต่จะไม่ได้ยั่วยวนชวนกิน เพราะมาในโทนภูมิฐานนั่นเอง

ความทน – ยกนิ้วให้เลย 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ สามารถอยู่ได้ถึง 12 ชม. ด้วยซ้ำถ้าจำนวนสเปรย์ถึง

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นกระจายกลางๆ แบบมีระดับไปเรื่อยๆ จนปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย – เรียกว่าเป็นอีกตัวนึงที่ผมมองข้ามมาตลอดนะครับ เพราะคิดว่าคงมาในโทน Old School แหงแซะ แต่พอได้ใช้แล้ว เออ มันดีงามเลยล่ะนะ กลิ่นร่วมสมัยและ Timeless ได้เลยล่ะครับ

Credit ภาพhttp://www.perfumeparadise.ca/images/stories/virtuemart/category/sku49_1.jpg

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review: Moschino – Forever Sailing


Moschino – Forever Sailing 

เรียกว่าเป็นการต่อยอดจากรุ่น Forever ปกติมาได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียวกับรุ่นลูกอย่าง Forever Sailing ของ Moschino เพราะผันจากกลิ่นสดชื่นแบบหวานอมเปรี้ยวอบอุ่น มาเป็นเย็นชื่นใจและเข้าทางการเป็น Sailing สมชื่อเลยทีเดียวล่ะครับ เพราะ 

เปิด Top Notes ขึ้นมาด้วยกลิ่นโทนสดชื่นซิตรัสกันก่อนเลย เพราะเลมอนกับเกรฟฟรุตปล่อยความสดชื่นกันเต็มๆ แถมด้วยมีความเย็นจากมินท์เข้าไปอีก เลยทำให้กลิ่นอายจะออกทางฟ้าใสชัดเจน แต่ที่แน่ๆ จะมีกลิ่นรองพื้นด้านหลังแบบแน่นๆ อยู่ ซึ่งจะเผยตัวขึ้นมาในช่วง Middle Notes นั่นคือจูนิเปอร์เบอร์รี่ ซึ่งจะมาในโทนแน่นๆ ออกทางเย็นซ่าหน่อยๆ เพราะมินท์ยังตามมาอยู่ ซึ่งจะมาลาเวนเดอร์มาผสานทำให้ออกทางแป้งเย็นกลิ่นอายสดชื่นแบบทะเลติดนุ่มๆ ได้ลงตัวมาก เรียกว่าช่วงนี้เป็นไฮไลท์เลย เพราะหอมออกทางแป้งเย็นอย่างมีระดับจริงๆ ได้ทั้งความสดชื่นและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน จนเมื่อเข้าช่วง Base Notes กลิ่นอายแบบแป้งเย็นสดชื่นก็ยังคงอยู่ เพียงแต่จะเบาลงไปให้กลิ่นโทนสะอาดติดไม้หอมหน่อยๆ เป็นตัวทำให้กลิ่นออกทางสบายๆ เหมือนผิวกายต้องแป้งเย็น โดยที่จะมีพิมเสนมาทำให้กลิ่นนุ่มหอมนวลๆ ไปตลอด เรียกได้ว่าเป็นน้ำหอมโทนสดชื่นที่น่าสนใจมาก และดูเหมือนจะซ้ำๆ กับในท้องตลาดก็จริง แต่ก็ยังฉีกตัวออกมาได้เป็นเอกลักษณ์แบบแป้งเย็นได้งดงามเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ก็สามารถแล้ว กลิ่นเข้าถึงง่ายมาก มีความสดชื่นแบบแป้งเย็นผสมท้องทะเลโดยไม่มีความคาวใดๆ มาเจือปนเลย สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้หมดทั้งทางการและไม่ทางการ ยิ่งอากาศบ้านเรานี่เข้ากันมากที่สุดเลย ส่วนยามค่ำคืนถ้าทั่วๆ ไปก็ใส่ได้ แต่ถ้าไปเที่ยวอาจจะไม่เข้าทางเท่าไหร่ เพราะจะสดชื่นอย่างเดียวไม่ได้ออกทางยั่วยวนนักก็เท่านั้นเอง

ความทน – นี่แหละ ทำได้ดีมากกว่าต้นตระกูลและเป็นโทนสดชื่นที่ทนจัดแบบที่ไม่คาดฝันว่าจะเจอ เพราะ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นอยู่ ซึ่งบอกได้เลยว่าอย่างดีก็ 8 ชม. ได้สบายๆ ครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น ปลอดปล่อยความสดชื่นกันเต็มๆ เลยล่ะ ตามด้วยลดลงมากระจายดีในช่วงกลางให้เห็นไฮไลท์ของน้ำหอม และปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – ง่ายๆ เลยครับ ยกให้เลย #ของดีเทคนิคไม่ต้อง และกลิ่นดีจริงจังมากครับ

Credit ภาพhttp://a.lnwfile.com/_/a/_raw/ws/vk/ei.jpg

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review: Ralph Lauren – Romance Silver


Ralph Lauren – Romance Silver

เป็นอีกหนึ่งรุ่นของแบรนด์ Ralph Lauren ที่ผมเสียดายมาก เพราะเป็นอีกหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง เรียกว่าใครใส่ก็หอม แถมเป็นน้ำหอมผู้ชายที่ผู้หญิงใส่ได้สบายๆ ซึ่งมัน #เลิกผลิต ไปแล้ว (ปั๊ด! ตบดิ้นเลย) ของดีๆ มักเลิกผลิตน่ะนะ เป็นอะไรกันนักหนาก็ไม่รู้ เช่นนั้นมาร่วมเสียดายกันครับ กับรุ่นนี้เลย Romance Silver 

ภาพรวมของน้ำหอมตัวนี้ คือ น้ำหอมกลิ่นไม่หนักแต่มีความน่าสนใจและโรแมนติคในทุกๆ ช่วงตัว เลยเพราะเปิด Top Notes ด้วยกลิ่นของ Vodka ผสานกับส้มเขียวหวานและมะกรูด มีกลิ่นอายของสับปะรดให้รู้สึกได้ โดยจะมีกลิ่นอายของโทนวู้ดดี้ติด Spice บางๆ ที่พอให้รู้ได้ของไซเปรสมากลั้ว ทำให้กลิ่นเปิดจะเป็นช่วงที่เข้าถึงง่ายสุดๆ และมีทั้งความกรุ้มกริ่มขี้เล่นหน่อยๆ หวานจางๆ สดชื่นแบบนุ่มๆ และอ่อนโยนกำลังดี เรียกว่าสามารถเสียเงินซื้อตัวนี้ได้ในทันทียามเมื่อดมจากหัวฉีดหรือกระดาษเทส ซึ่งช่วงอื่นๆ ก็ไม่ต่าง เพราะ Middle Notes จะเป็นโทนแป้งติดสดชื่นเย็นๆ ซึ่งไม่ได้ออกทางแป้งเย็นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เป็นแป้งนุ่มๆ ที่มีความรู้สึกเย็นวาบๆ ติดเมทัลลิคที่มาจากจันทน์เทศ ซึ่งไวโอเล็ตพอกลั้วกับกลิ่นที่ตามมาตั้งแต่ตอนต้นจะกลายเป็นแป้งนุ่มติดสดชื่นและหวานอ่อนโยนเลย ช่วงนี้เลยได้ความรู้สึกโรแมนติคแบบสดชื่น คือ ถ้าซุกมีสิทธิ์ไม่อยากออกจากซอกคอหรือแผ่นอกนะจ้ะ เพราะมันมาเงียบๆ แต่ฟาดเรียบไม่น้อยในโทนแบบนี้ ปิดท้ายที่ Base Notes กับกลิ่นอายนุ่มสะอาดๆ มีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ มาผสานทำให้กลิ่นมีความอบอุ่นเบาๆ กำลังดี ยิ่งมาผสานกับกลิ่นช่วงกลางที่ตามมายิ่งทำให้ออกทางโรแมนติคแบบสะอาดสะอ้านได้ลงตัวมาก ซึ่งทำไมกันเนี่ย! ทำไมถึงเลิกผลิต ไม่เข้าใจ (ปั๊ด! ตบร่วงเลย)

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนม.ปลาย ก็ใช้ได้แล้วครับ เพราะถ้าน้องๆ วัยรุ่นใส่ กลิ่นจะออกโทนคุณหนูผู้ดีเลยล่ะ แต่ถ้าเป็นคนวัยทำงานกลิ่นอายจะโรแมนติคแบบสุภาพเลย สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งถ้าจะใส่เพื่อโรแมนติคกับแฟนนะมีสิทธิ์ตัวติดกันยิ่งกว่าตังเม เพราะกลิ่นมันสดชื่นน่าซุกมากกกก ส่วนยามค่ำคืน ถ้าแบบทั่วๆ ไป ก็ใส่ได้ แต่ถ้าไปเที่ยวกลางคืนหาเหยื่อ ไม่เข้าท่านัก เพราะกลิ่นเบาไป ที่สำคัญ คุณผู้หญิงใส่ตัวนี้ได้สบายๆ เลยครับ มันมีความ Unisex มากเลย

ความทน – กลิ่นทนกำลังดีและลงตัวที่ 6 – 8 ชั่วโมง ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย – กลิ่นกระจายกำลังดีให้ความสดชื่นโรแมนซ์ติดหวานแบบนุ่มๆ ในช่วงต้น จนลงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง และปิดท้ายที่ Skin Scent ชัดเจนในช่วงท้ายๆ ที่ให้ความ Elegance และ Romantic แบบสะอาดน่าซุก

ทิ้งท้าย – เสียดายครับ บอกตรงๆ กลิ่นมันใช้ง่ายจริงๆ เข้าถึงง่ายมากด้วย แต่ดันเลิกผลิต (ปั๊ด! ตบชักเลย) รมณ์เสีย!

Credit ภาพhttp://www.99perfume.com/image/RO47M.jpg

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review: Comptoir Sud Pacifique – Amour de Cacao


Comptoir Sud Pacifique – Amour de Cacao

กลับมาที่แบรนด์นี้อีกครั้งกับความเป็นน้ำหอมโทน Gourmand หรือที่รู้จักกันคือโทนขนมหวาน เพราะแบรนด์นี้เขาเก่งเรื่องนี้จริงๆ ซึ่งจากที่เคยว่ากันถึงรุ่นกาแฟลาเต้หอมๆ Vanille Mokha ที่เป็นลูกรักผมสุดๆ และเลิกผลิตไปแล้วววว (เซ็งขีดสุดมากมาย) และรุ่น Coco Extreme กับการเป็นเค้กมะพร้าวเดินได้ คราวนี้ก็ได้เวลาของกลิ่นอายของโกโก้แล้วล่ะ นั่นคือ Amour de Cacao ครับ

ดาร์กชอคโกแลตติดกลิ่นส้ม – นี่คือช่วง Top Notes ของตัวนี้เลย เพราะกลิ่นอายที่มาจะมาแบบโกโก้ที่มาแบบดาร์กๆ ใส่นมให้ออกครีมมี่จางๆ ผสานกับกลิ่นสดชื่นของส้มเบาๆ ทำให้ออกมากลายเป็นเหมือนมีดาร์กชอคโกแลตเจือส้มให้กลิ่นอบอวล

โกโก้อุ่นกับกับผลไม้ที่เป็นของว่างยามเช้า – เป็น Middle Notes ที่กลิ่นน่าสนใจมาก เพราะจะผันตัวจากความเป็นดาร์กชอคโกแลตมาเป็นโกโก้อุ่นชวนจิบ มีความหวานกำลังดีจากวานิลลาที่เริ่มมาเปิดตัวกลั้วโกโก้ที่ออกทางขมดาร์ก กลิ่นจะหอมอบอุ่นกันเลยทีเดียว โดยจะมีกลิ่นอายของมะเฟืองกำลังดีติดกลิ่นส้มกำลังงามมาทำให้เหมือนกลิ่นผลไม้ที่ปลอกเรียบร้อย กินกับโกโก้อุ่นในยามเช้า กลิ่นจะผสานกันระหว่างความอบอุ่นและความสดชื่นของผลไม้ได้ดีเลย

เค้กวานิลลาราดชอคโกแลต – พอหลังจากที่วานิลลาโผล่มาในช่วงกลาง ก็จะเริ่มทวีความแรงขึ้นมาตามลำดับจน Take Over เต็มตัวในช่วง Base Notes ที่จะเป็นกลิ่นอายเค้กวานิลาไล่เรียงเลเยอร์เป็นชั้นๆ หรือจะมองอีกแบบก็เค้กโอเปร่าแบบที่ชั้นวานิลลาหนาและเยอะกว่าชั้นชอคโกแลต หอมหวานอบอุ่นมากมาย แบบหิวเลยแหละ

เหมาะสำหรับ – ทุกเพศวัยสะรุ่นขึ้นไป แม้ใจยังวัยรุ่นก็ใส่ได้นะจ้ะ เพราะกลิ่นโกโก้ ถือเป็นหนึ่งกลิ่นที่ให้ความรู้สึกแบบ Unisex เลยล่ะครับ ซึ่งเหมาะกับบางสถานการณ์ยามกลางวัน แบบจำกัดจำนวนสเปรย์ ไม่งั้นกลิ่นจะอบอวลคฆ่าตายหมู่แบบเวียนหัวกันได้ เพราะกลิ่นมันหวานขนมเลยล่ะ งดใส่ยามออกงานทางการจัดๆ รับแขกบ้านแขกเมือง แต่ถ้างานเลี้ยงหรืองานแต่งงานใส่ได้กลิ่นอบอุ่นเลย รวมถึงงดใส่ยามออกกำลังกาย ถ้าไม่อยากทำให้คนข้างๆ หิวจนอารมณ์เสีย เพราะตูมาลดน้ำหนัก หรือทำให้ชาวบ้านเขาเวียนหัวเพราะมันหวาน ส่วนยามกลางคืนแบบไปเที่ยงราตรีจัดได้เลย กลิ่นน่ากินเลยล่ะครับ ฮิ้วววววววววววว

ความทน – มากกกกกกกกกกกกกก กลิ่นทนเกิน 10 ชม. ขึ้นไปสบายๆ ส่วนตัวฉีดตอน 6 โมงเช้า 3 ทุ่มกลิ่นยังตีขึ้นอยู่เลย

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากกกกกกมาแบบเต็มแน่นเข้มแบบโกโก้เลยจ้า ก่อนจะลดลงมากระจายดีไปตลอด และเป็นกระจายกลางๆ ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – ใครชอบกลิ่นโทนขนมแนวๆ โกโก้และวานิลลาตัวนี้กลิ่นเป๊ะมากเลยล่ะครับ แถมเป็นขนมหอมทั้งวันเลยแหล

Credit ภาพhttp://www.perfume.com/images/products/sku/large/CSPACTS34.jpg

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review: L'Artisan Parfumeur – L'Été en Douce


L'Artisan Parfumeur – L'Été en Douce

~กลับมาเยือนแบรนด์เดิม แบรนด์ที่เคยคุ้นตา แบรนด์ที่ใจนั้นมันเสาะหา เฝ้าคิดถึงแบรนด์ที่จากไป~ 

ถึงกับร้องเพลงเลยทีเดียวเพราะ L'Artsan Parfumeur บ๊ายบายเมืองไทยไปเสียแล้ว หลังจากนี้ใครอยากได้ Pre-Order หรือสั่งตรงจากเมืองนอกกันเอาเนาะ ซึ่งเช่นนั้นผมจึงต้องเอาความดีงามของรุ่นอื่นๆ มายั่วบ้าง เอ๊ย! ไม่ใช่สิ มาบอกเล่าต่างหาก ว่ากลิ่นดีๆ มีเสน่ห์มีเยอะเลยล่ะครับ เช่นนั้นมาที่รุ่นนี้เลย L'Été en Douce ว่าเป็นยังไงกันบ้าง

เปิดกันเต็มด้วยกลิ่นออกโทนเขียวกันเลย แต่จะเป็นโทนเขียวแบบติดนวลติดฉ่ำ โดยกลิ่นอายเย็นๆ แบบโทนเขียวๆ ของหญ้าและมินท์จะกลั้วไปกับกลิ่นดอกส้มที่จะนวลๆ ติดซิตรัสและดอกมะนาวที่จะกลิ่นออกโทนหวาน กลิ่นอายเป็นธรรมชาติมาก เป็นโทนสดชื่นแบบนุ่มๆ ติดเขียวที่ลงตัวเลย ซึ่งตรงๆ ว่ากลิ่นในช่วงนี้เบลนด์ออกมาได้คล้ายสิ่งหนึ่งมากนั่นคือ กลิ่นแป้งสาลี (กร๊ากกกกกกก) จริงๆ นะครับ แต่ที่ไม่ใช่ 100% เพราะว่ามันมีความสดชื่นด้วยนี่แหละเลยทำให้ยังพอให้รู้สึกว่าจะไม่เป็นกลิ่นแป้งซาลาเปาไปได้อยู่ จนเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นตอนต้นจะมาผสาน กับโทนเขียวแบบแห้งๆ ของหญ้าแห้ง (ที่ไม่ใช่ฟางนะตะเอง) และมีกลิ่นกุหลาบจางๆ ให้รู้สึกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่รองพื้นด้านหลังคือโทนนุ่มๆ เลยทำให้กลิ่นช่วงนี้เป็นกลิ่นนุ่มติดโทนเขียวแบบกึ่งสบู่ครีมๆ กึ่งแป้งสาลีหน่อยๆ หอมหวานเบาๆ ออกโทนสว่างได้ลงตัวมาก ส่งต่อให้ช่วงท้ายที่กลิ่นอายนุ่มๆ ของ White Musk ที่เป็นตัวรองพื้นในช่วงกลางจะเด่นขึ้นมา กลั้วกับโทนไม้หอมอ่อนๆ ซึ่งกลิ่นเขียวแบบแห้งๆ ในช่วงกลางยังตามมาอยู่ เลยทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะออกทางคล้ายเสื้อผ้าที่สะอาดๆ มีกลิ่นหอมติดเขียวจางๆ นุ่มๆ มีความเป็นสบู่ให้รู้สึกได้ เรียกว่าภาพรวมน้ำหอมตัวนี้ใสสว่างแบบโทนเขียว และกลิ่นอายธรรมชาติแอบหรูหน่อยๆ ที่หอมแบบไม่หนักหน่วงมาอ่อนๆ และผ่อนคลายมากจริงๆ ครับ

เหมาะสำหรับ – น้ำหอมตัวนี้ตราเอาไว้ว่าเป็นของสาวๆ ใช่เลย เหมาะกับสาวๆ มากครับ แต่มันก็มีความเป็น Unisex อยู่ประมาณ 40% นะนั่น เพราะกลิ่นหญ้าแห้งๆ นี่แหละที่เข้าได้กับทุกเพศ ซึ่งเหมาะสำหรับวัยม.ปลาย ขึ้นไปก็ใส่ตัวนี้ได้แล้วครับ กลิ่นอายธรรมชาติและท้องทุ่งแบบนุ่มๆ เลย สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและไม่ทางการ ส่วนยามกลางคืนตัดออกไปได้เลย ถ้าจะใส่ไปท่องราตรี เพราะเบาไปจ้า ถ้าใส่เพื่อเพิ่มใความสดชื่นสิพอไหว

ความทน – อยู่ที่กลางๆ ประมาณ 6 ชม. ครับ ตามประสาน้ำหอมกลิ่นอายธรรมชาติ จะมากกว่านี้อาจจะต้องเพิ่มจำนวนสเปรย์และการฉีดย้ำจุดเดิม หรืออาจจะฉีดเสื้อด้านนอกเพิ่มก็พอช่วยได้ครับ

การกระจาย – กลิ่นมาแบบเบาๆ อ่อนๆ เช่นนั้นอย่าได้คาดหวังการกระจายที่เป็นบาเรียรอบๆ ตัว เพราะกลิ่นจะกระจายกำลังดีในตอนต้น แล้วจะผันเป็นออร่ารอบๆ ตัว และเป็น Skin Scent ในที่สุด

ทิ้งท้าย – ได้กลิ่นครั้งแรก ผมหิวอาหารทุกประเภทที่ทำจากแป้งสาลี และได้อารมณ์เหมือนเรากำลังจะนวดแป้งอะไรซักอย่าง กร๊ากกกกกก เพียงแต่ว่าสิ่งที่มีเสน่ห์จริงๆ และผมจับต้องได้คือกลิ่นหญ้าแบบสดชื่นและกลิ่นหญ้าแห้งนี่แหละครับ เป็นอะไรที่ดีงามมากเลยล่ะของตัวนี้ และบอกเลยว่า “ใส่น้ำหอมกลิ่นหญ้าก็หรูหราได้นะจ้ะตะเอง”

Credit ภาพhttp://www.vkusnopedia.ru/static/pimages/parf/productimage-picture-lartisan-woman-lete-en-douce-50-158220_jpg_520x520_q85.jpg

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review: Agent Provocateur - Maitresse


Agent Provocateur - Maitresse

Agent Provocateur เป็นแบรนด์แฟชั่นที่ดังมากเรื่องชุดชั้นในเน้นเซ็กซี่แบบมีดีในตัวสูงมากเลยทีเดียวนะครับ จุดนี้แต่ละชุดนี่มาเต็มมาก ซึ่งแน่นอนเป็นชั้นในผู้หญิง ครั้นจะดูชุดชั้นในเพื่อไปขอดมก็คงไม่ใช่ -___-" เลยมาดมที่น้ำหอมแบรนด์นี้กันแทนดีกว่า หลังจากได้รับการแบ่งปันมาว่าน่าสนใจเลยขอมาบอกเล่ากันที่รุ่นนี้เลยครับ Maitresse

แน่นอนว่าน้ำหอมแบรนด์นี้มีแต่ของผู้หญิงซึ่งผมก็ตั้งรับเต็มที่ว่าตูจะสาวขนาดไหนหลังฉีด ผลออกมาเลยคือ Top Notes ออกมาก็โทนดอกไม้กันเลยทีเดียว เพราะกลิ่นอายแบบเขียวๆ สดชื่นติดหวานนิดๆ ของดอกบัวจะมากลั้วกับกลิ่นหอมหวานของกระดังงา เลยทำให้กลิ่นออกทางสดใสมากกว่าจะหวานนวล แต่ที่มันเด็ดกว่าคือกลิ่นมีโทนยั่วยวนในนั้นเสียด้วย เพราะมีกลิ่นเขียวหวานนวลของใบไวโอเล็ต เลยทำให้ช่วงนี้จะเป็นการปลุกเร้าความเซ็กซี่ในตัวกันได้ไม่น้อยและไม่โจ่งแจ้งเสียด้วย ตามต่อกันที่ Middle Notes กลิ่นดอกไม้ในตอนต้นยังตามมาอยู่ โดยโทนเขียวติดหวานสดชื่นจะมาผสานกับโทนแป้งหอมดอกไม้เลยจ้า กลิ่นจะเด่นมากเลยที่ดอกหอมหมื่นลี้กลั้วกับมะลิ และมีความนวลเนียนแบบแป้งที่เซ็กซี่ของดอกไอริส เพราะกลิ่นจะยั่วยวนและเย้าด้วยดอกไม้โทนหวานแสดงความเป็นหญิงแบบมีชั้นเชิงติดหรูมากกว่าจะมาแบบว่า "มากินหนูที มากินหนูให้อิ่มจนฟูเลยนะคะ" แบบนั้น แต่อีกมุมนึงของช่วงนี้ก็เป็นกลิ่นอายดอกไม้ที่หอมหวานรัญจวนแบบไม่หนักและใสจนเกินไปเสียด้วยนะครับ เรียกว่าคาบเกี่ยวได้ทั้งยามปกติและยามร่างกายพร้อมได้เลยล่ะ ส่งต่อให้ Base Notes ซึ่งงานนี้จะมาแบบคล้ายๆ กลิ่นผิวกายสะอาดติดนุ่มเย้าของ Musk เลยจ้า มีกลิ่นหนังกลับมาแจมให้เข้าทางมากขึ้น มีความอุ่นๆ ของโทนไม้หอมหน่อยๆ โดยยังมีโทนดอกไม้ตามมาจางๆแบบติดผิว ตรงๆ คือ เป็นช่วงที่เซ็กซี่แบบไม่ต้องพยายามครับ เพราะกลิ่นแบบผิวกายผู้หญิงติดกลิ่นดอกไม้หวานจางๆ มันสร้างสามารถสร้างความหื่นให้กระทาชายได้สบายๆ เลยล่ะ แต่อีกมุมก็หอมแบบลงตัวและกำลังดีแบบผิวกายนุ่มสะอาดแสดงความเป็นหญิงชัดเจนเลยนะ

ภาพรวมของน้ำหอมตัวนี้ ให้จินตนาการถึงผู้หญิงใส่ชุดชั้นในวาบหวามสีดำ แถมชุดซีทรูวับๆ แวมๆ ตรงจุดสำคัญของร่างกาย (อายยยยยยจังเลย ออกแนวลามกแล้วอ่ะ แอร๊ยยยยย!) นอนท่าเซ็กซี่แล้วมีกลิ่นอายดอกไม้หวานเย้าแบบที่ว่า I'm not that innocent ได้เลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงเน้นๆ เลยจ้า กลิ่นบ่งบอกความเป็นหญิงเต็มสูบจริงๆ และเหมาะกับวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปเลย เพราะกลิ่นแบบนี้มันก็หวานใสได้นะ แต่เอาจริงมันก็ยั่วเย้าเลย ถ้าน้องมหาลัยไม่มายด์หนูก็ใส่ได้จ้ะ ซึ่งสามรถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการแบบไม่จัดๆ เกินไป และไม่ทางการแบบชิลล์ๆ ทั่วไป แต่งดใส่ออกกำลังกาย เดี๋ยวจะอวลจนแน่นไปเสียก่อน ที่สำคัญใส่กลางคืนได้สบายๆ เลยจ้า กลิ่นมันใช่เลย พร้อมเลยล่ะ ^^

ความทน - กลิ่นทนดีเลยล่ะครับ อยู่ที่ 6 - 8 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และจะลดลงมากลางๆ และปิดท้ายด้วยกึ่งออร่ารอบๆ ตัวกิึ่ง Skin Scent

ทิ้งท้าย - ผมใส่แล้วโดนคนในบ้านทักกันให้รึ่ม ใส่น้ำหอมผู้หญิงมาชิมิ กลิ่นนี่บ่งบอกความเป็นสาวมาเต็มเลยทีเดียว (-.-) ก็ตูลองน้ำหอม เดี๋ยวปั๊ดหยิบคอทเซทมาใส่รัดนมโชว์เลยนิ -________-"

Credit ภาพhttp://www.lilydirect.com/assets/images/Fragrances/Agent_Provocateur_Maitresse_34_Women_Retail_500X500.JPG

Review: Chanel - Antaeus


Chanel - Antaeus 

เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เรียกว่าเก่าแก่กันเลยล่ะครับ และเป็นหนึ่งในตัวเทพของ Chanel ไม่น้อย มาแบบแรงไม่มียั้งในด้านกลิ่นเชิง Old School แต่ยังร่วมสมัยได้อยู่เสมอนั่นคือรุ่น Antaeus ครับ 

เอาจริงๆ กลิ่นนี้ถ้าใครไม่ชอบน้ำหอมโทนสุภาพบุรุษย้อนยุคอาจจะสตันยามได้กลิ่นเลยนะครับ เพราะขนมาหมดเลยทั้งความเป็นหนัง สาปปลุกเร้า และความเป็นไม้เนื้อหอมที่กำลังโดนเผาจนเป็นควันไอ ซึ่งโคตรจะแมนเลยล่ะครับ โดย Top Notes กลิ่นมาที่ความเป็นสมุนไพรแน่นๆ ของเม็ดผักชีและเซจที่จะออกเขียวๆ ซ่าๆ ปร่าๆ กลั้วโทนซิตรัสก็จริง แต่กลิ่นของยางไม้แบบแน่นๆ ที่จะเข้ามาเต็มมากกว่า แถมด้วยกลิ่นอายของหนังแน่นๆ เข้มๆ แมนจัดๆ ติดสาปปลุกเร้าก็เอากันเต็มตั้งแต่ช่วงนี้ เรียกว่า ใครแพ้ทางน้ำหอมแบบนี้จะรีบกราบแล้วไปล้างตัว ถ้าได้เผลอฉีด 55555 มาแนวๆ ใกล้เคียงกับ Kouros ของ YSL เลยล่ะครับ เพียงแต่ไม่ได้ออกทางจัดหนักเน้นยั่วตัวพ่อมากขนาดนั้น ซึ่งหลังจากเปิดตัวอลังการกันไปแล้ว Middle Notes จึงได้เข้ามา โดยกลิ่นอาย Animalic แบบสาปปลุกเร้าจะกลายเป็นบางๆ รองพื้นด้านหลังให้ความแมนอยู่ โดยดันให้กลิ่นอายของดอกไม้ผสานกับกลิ่นรมควัน Smoky ช่วงนี้เลยจะกลายเป็นช่วงที่เรียกว่าหอมหรูดูมีระดับมากมายเลยทีเดียว ผมดมแบบยังฟินเลยเพราะโทนดอกไม้รมควันไอไม้แบบนี้นานๆ ทีจะเจอความนวลๆ นุ่มจมูกติดโทนเขียวๆ กำลังดี จนเมื่อเข้าช่วง Base Notes งานนี้่ตัวหนักๆ อย่างโทนหนังจะเริ่มมาอีก คราวนี้มาหนัก มาเต็ม เพราะมีกลิ่นชูโรงอย่าง Castoreum ต่อมเพศของบีเวอร์มาทำให้ออกสาปตุ่นๆ แต่แมนมาก มีกลิ่นยางไม้ติด Smoky โดนเผามาเต็มตลอดไม่มีลดราวาศอกใดๆ ยังไม่พอ เพิ่มความแมนด้วยโทนเขียวเท่ห์แน่นของ Oak Moss โดนมีพิมเสนประปรายลดทอนให้นุ่มบ้างไรบ้าง เรียกว่าเป็นช่วงจัดเต็มปล่อยของแบบแมน เท่ห์ และมีพลังทางเพศเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวันทำงานขึ้นไป และชอบน้ำหอมโทน Old School ที่ร่วมสมัย ไม่งั้นนะ จะผงะกลิ้งกลับหลังไป 3 ตลบ เพราะมันจะแน่นมาก มาเต็มแบบหนังติด Smoky มากมาย สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ แบบทางการก็ได้ ไม่ทางการก็ไหวอยู่ เพราะกลิ่นแอบยั่วแบบมีชั้นเชิง ส่วนออกกำลังกาย ฆ่าตายหมู่ได้นะงดดีกว่า

ความทน - มากกกกกกกกกก มาเต็มมาแรงต่อเนื่องไม่ยั้งที่ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นอยู่เลย

การกระจาย - มากกกกกกกกกกกกกก เป็น Sillage Scent ที่เป็นบาเรียหุ้มตัวเราไว้ได้เลย มีช่วงท้ายๆ ที่จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย - กลิ่นดีงามสมความเป็น Chanel จริง แต่ไม่ได้ตอบโจทย์คนที่ชอบน้ำหอมโทนสดชื่นและน้ำหอมโทน Modern เป็นหลักแน่นอนครับ

Credit ภาพhttp://www.chanel.com/en_US/fragrance-beauty/cms2export/Site1Files/P118450/S118460_XLARGE.jpg

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review: Hermes – Eau de Mandarine Ambrée


Hermes – Eau de Mandarine Ambrée

ตัวสุดท้ายของไลน์ Cologne Collection ของ Hermes แล้วจ้า (ซึ่งในอนาคตไม่รู้จะมีอีกไหม แต่ตอนนี้ก็รีวิวมาจนหมดแล้วในตอนนี้) ซึ่งแน่นอนว่ามากับขวดสีส้ม และชื่อรุ่นก็บ่งบอกถึงส้มอีก เช่นนั้นเรามาสูดความเป็นส้มกันครับกับรุ่น Eau de Mandarine Ambree

เปิดต้นกลิ่นขึ้นมาก็ส้มกันเลยทีเดียว ได้อารมณ์เหมือนเรากำลังปลอกเปลือกส้มแล้วกลิ่นแบบติดเปลือกมันฟุ้งกระจายออกมา คือ มันเป็นส้มเลยแหละและกลิ่นธรรมชาติมากเสียด้วย คือคนชอบส้มจะฟินกันไปข้างเลย กลิ่นจะปลุกโสตประสาทให้เกิดความสดชื่นกันเต็มๆ ในช่วงนี้ จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นของส้มจะมาผสมผสานกับกลิ่นของเสาวรส กลายเป็นกลิ่นโทนผลไม้ที่หอมแบบเปรี้ยวอมหวานได้ลงตัวมาก กลิ่นเริ่มผันตัวจากความสดชื่นแบบซิตรัส สู่โทนที่เป็นผลไม้ที่หอมฉ่ำๆ โดยจะเริ่มมีความอุ่นขึ้นในเนื้อกลิ่นทีละหน่อย จนเข้าสู่ช่วงท้ายกันเต็มๆ กับกลิ่นอายโทนอบอุ่นติด Smoky จางๆ ของ Amber และจะมีกลิ่นอายสะอาดๆ ของโทนไม้เนื้อหอมอ่อนๆ ให้พอรู้สึกได้ ไล่เรียงโทนมาถึงจุดสุดท้ายของน้ำหอมได้น่าสนใจมากเลยทีเดียวกับกลิ่นอายสดชื่นแกมอบอุ่นแบบนี้ ที่สำคัญถือเป็นอีกอีกกลิ่นในไลน์ที่กลิ่นอายธรรมชาติมากจริงๆ ครับ

เหมาะสำหรับ – ทุกเพศทุกวัยเลยจ้า กลิ่นใช้ง่ายมากถึงมากที่สุด เข้าถึงก็ง่ายด้วย ที่สำคัญเป็นหนึ่งใน Safe Scent ที่ไม่รบกวนใครได้สบายๆ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย งานทางการพอได้ แต่ถ้าชิลล์ๆ นี่เข้าทางมากๆ ส่วนยามค่ำคืน อย่าเลย มันเบ๊าเบาไปนะ ยกเว้นฉีดเพื่อเพิ่มความสดชื่นหลังอาบน้ำ ก็ OK ครับ

ความทน – เป็นอีกตัวในไลน์นี้ที่ไม่ควรที่จะคาดหวังเรื่องนี้ 555555 เพราะเอาเข้าจริงอย่างดี 4 ชั่วโมงก็ไม่เหลืออะไรแล้วจ้า ตามประสาน้ำหอมโทน Citrus Aromatic ที่เอาดีทางด้านหอมจริงหอมจัง แต่ความทนไม่ได้ตอบโจทย์มากนัก เอาไปฉีดเพิ่มความสดชื่นระหว่างวันจะดีที่สุดครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในตอนแรกฉีด และจะลดลงเป็นออร่ารอบตัวอย่างไวพอสมควร แน่นอนว่าคนฉีดจะได้กลิ่นมุ้งมิ๊งกับส้มและเสาวรสอยู่คนเดียว ยกเว้นยืนเหนือลมคนอื่นจะได้กลิ่นจากเราได้อยู่ ส่วนช่วงท้าย Skin Scent เน้นๆ จ้า

ทิ้งท้าย – ตอนผมฉีดตัวนี้ ผึ้งบินตามเลย เพราะกลิ่นมันธรรมชาติมากจริงๆ ขนาดผึ้งยังรู้ได้ 555555 ที่สำคัญไปยืนเหนือลม น้องชายทักเลย กลิ่นส้มเลยนะ วันนี้ ของเขาดีนะเนี่ย แต่แค่ไม่ทนก็เท่านั้นเอง EDC นี่เนาะ ^^

Credit ภาพhttp://media.hermes.com/media/wysiwyg/visuel-gamme-EMA.jpg

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review: Givenchy Pi


Givenchy Pi

ต้องเรียกว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าเลยทีเดียวกับการเป็นน้ำหอมชายที่กลิ่นวานิลลานำเด่นเป็นสง่าที่สุด แถมเป็นวานิลลาที่จัดจ้านคมมากเลยทีเดียว แบบว่าใครไม่ชอบนี่คงเซ็งได้เลยนะ ถ้าเจอคนฉีดเยอะๆ 5555 ซึ่งแน่นอนว่ารุ่นนี้ของ Givenchy ประสบความสำเร็จมากจนต่อยอดออกลูกออกหลานมาอย่างมากมายด้วยเช่นกัน นั่นคือ Pi ครับ 

ต้องบอกว่าน้ำหอมตัวนี้จะมี Hint ของวานิลลาซ่อนอยู่ในเนื้อกลิ่นให้พอจับต้องได้ตั้งแต่ช่วง Top Notes เลยแต่จะมาแบบหลบๆ ซ่อนๆ ผลุบโผล่ๆ ให้กลิ่นโทนเขียวติดสมุนไพรปร่าๆ กับซิตรัส นำขึ้นมาก่อน กลิ่นจะมีโทนสดชื่นจางๆ ท่ามกลางพื้นหลังออกทางเขียวติดหวานนุ่มของพอสมควร จนเมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นวานิลลาเริ่มมาคู่กับกำยานเปิดตัวเล็กน้อยแบบว่าขออยู่ในซีนนะ ให้รู้ว่าชั้นมาแล้ว แต่ให้โทนเครื่องเทศกลั้วดอกไม้ที่จะมีกลิ่นอายไม้หอมแบบไม้แห้งมาแจม กลิ่นอายเลยจะออกโทนหวานอบอุ่นแบบแมนๆ ภูมิฐาน กลิ่นจะเริ่มออกโทนอุ่นขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่แปลกคือ กลิ่นอุ่นก็จริงแต่คมหน่อยๆ จนรู้สึกได้ จนเข้าช่วย Base Notes เต็มตัววานิลลาควงมากับกำยานมาเป็นเป็นพระเอกของเรื่องกันเลย กลิ่นอายที่จับได้ว่าคม ก็คมกันเต็มๆ มากขึ้น เพราะว่ามีกลิ่นออกทางน้ำตาลหน่อยๆ แม้ว่าจะมีกลิ่นครีมนุ่มๆ แบบอัลมอนด์เข้ามาเสริมก็ตาม ก็ยังคมหวานอยู่ ทำให้ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่หอมแบบสุภาพบุรุษที่อบอุ่นและหวานโรแมนติคด้วยวานิลลา และเย้ายวนแบบอุ่นๆ กันเต็มๆ กับกำยาน ซึ่งบอกเลยกลิ่นแน่นเลยทีเดียว สมแล้วที่ดังมาอย่างอย่างนานและเป็นหนึ่งในใต้หล้าทางด้านกลิ่นวานิลลานำเช่นนี้

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นมีความอบอุ่น น่าไว้วางใจ หวานโรแมนติค และภูมิฐานในเวลาเดียวกันทั้งหมด สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบจำกัดจำนวนสเปรย์จะลงตัวมากกับการเป็นหนุ่มอบอุ่นน่าไว้วางใจ ไม่งั้นแน่นหวานซะ จนชาวบ้านอาจจะด่าเพราะเวียนหัว ที่สำคัญงดใส่ออกกำลังกายเด็ดขาด ฆ่าตายหมู่นะนั่น ที่สำคัญใส่ยามกลางคืนได้สบายๆ ครับ กลิ่นอบอุ่นหวานและภูมิฐานเลยล่ะ

ความทน – 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ แถมเกินกว่านั้นเสียด้วยซ้ำเพราะผมเจอที่ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้อยู่ได้

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีและแน่นเลยล่ะ คงความกระจายดียาวมาจนถึงปลายๆ ช่วงกลาง แล้วจึงผันเป็นกระจายกลางๆ เรียกว่าเป็น Sillage Scent อีกตัวนึงที่เน้นการกระจายและตีขึ้นให้รับรู้ได้ดีตลอดเลย

ทิ้งท้าย – เรียกว่าใครรักวานิลลาจะฟิน เพราะมันไม่สาว มันหวานแบบแมนอบอุ่นเน้นๆ เลยล่ะครับ

Credit ภาพhttp://2ctil02q0em62rd6ir3vnkvj.wpengine.netdna-cdn.com/wp-content/uploads/2015/03/Givenchy-men.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review: La Martina - Tierra del Fuego


La Martina - Tierra del Fuego

เห็น La Martina มาตั้ง Shop ในไทยแล้วแต่ยังไม่ได้ไปแวะเวียนเลยซึ่งชักอยากรู้ว่าจะมีน้ำหอมเข้ามาหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ดันได้มาเป็นของฝากจากเพื่อนที่พึ่งกลับจากยุโรปมาไม่นานเลยทำให้ชักอยากจะรีบไปดูที่ Shop มาก เพราะน้ำหอมรุ่น Tierra del Fuego ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่หักเหลี่ยมโหดไม่น้อยในแง่ของกลิ่นเลยทีเดียว เพราะ

นี่มันนนนนน Creed Aventus นี่หว่า กร๊ากกกกกกกก จริงๆ ครับ กลิ่นคล้ายมาก คล้ายจนผมตกใจเลย แต่หลังจากใช้จริง แม้ว่าจะใกล้เคียงเป็นฝาแฝดซะขนาดนั้น แต่ก็ยังมีความแตกต่างอยู่นิดนึง ซึ่งแน่นอนว่า Top Notes มาเต็มๆ กับกลิ่นโทนผลไม้ที่เด่นด้วยแบล็คเคอแรนท์และสับปะรด โดยจะมีกลิ่นแอปเปิ้ลเขียวและมะกรูดแบบติดเปลือก โดยแอบจับกลิ่นเมนทอลได้พอสมควรในช่วงนี้เลยทำให้กลิ่นจะมีความซ่าติดผลไม้ซึ่งมันใช่เลยล่ะนะ Aventus มาก ตอนฉีดนี่เผลอร้องออกมาเลย เฮ้ยยย! กรูฉีดผิดตัวหรือเปล่าวะเนี่ย 555555 แต่สิ่งหนึ่งที่จับได้เลยคือ กลิ่นจะไม่นุ่มนวลนัก จะมีความดิบๆ สากๆ อยู่พอสมควร ออกแนวเป็น Aventus ที่เปิดตัวเถื่อนๆ หน่อยนึง ไม่คุณชายจ๋าๆ นัก และเมื่อพอเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นโทนผลไม้ตอนต้นจะดรอปลงมาจนเป็นพื้นหลังให้เปลือกไม้เบิร์ธปล่อยกลิ่นโทนหอมนุ่มติดเขียวกลั้วกับพิมเสน โดยมีโทนดอกไม้รองอยู่ด้านหลัง ซึ่งมันก็ Aventus อยู่ดี โดยที่แอบมีความต่างตรงที่กลิ่นอายพิมเสนจะไม่ได้เด่นนัก ออกแนวมาเบาๆ ไม่ได้หนักหน่วง ให้กลิ่นเขียวนุ่มๆ หอมนวลๆ ของเบิร์ธเด่น ซึ่งมันต่างน้อยไปนิดนะ 5555 และปิดท้ายที่ Base Notes งานนี้จับความต่างได้ชัดขึ้นมาก แม้ว่ากลิ่นช่วงนี้จะเด่นที่ Musk และวานิลลาแบบไลท์เวอร์ชั่น มีความเขียวแมนๆ ของ Oak Moss และมีกลิ่นอายจากช่วงกลางมาผสานทำให้ได้โทนนุ่มจมูกก็จริง แต่สิ่งหนึ่งคือช่วงนี้จะมีความ Smoky ของเนื้อกลิ่นเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งตัว Aventus จริงๆ จะไม่ค่อยมีกลิ่นโทน Smoky มาให้รู้สึก เพราะจะเป็นกลิ่นอายหอมแน่นๆ นุ่มเย้าแบบมีระดับของ Ambergris (อำพันปลาวาฬ) และหนังนุ่มๆ เสียมากกว่า ซึ่งตีวที่เล่าอยู่นี้ไม่มีกลิ่นนุ่มแบบนี้ เลยจับความต่างได้อยู่ในช่วงท้ายๆ แหละครับ ซึ่งภาพรวม ให้ตายเถอะ โรบิน! มัน Creed Aventus แบบออกแนวสากๆ ติดดิบๆ หน่อยๆ ไม่ได้หรูหราคุณชายมากขนาดนั้น ซึ่งชัดเจนว่าเอาความดีงามจาก Aventus มาปรับแต่งกันเห็นๆ เลยล่ะจ้า

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นเข้าถึงได้ง่าย และหอมแบบดูดีเลย แม้จะแอบมีความดิบสากๆ ในเนื้อกลิ่นก็ตาม และใครชอบ Aventus แต่ไม่มีตังค์ซื้อเพราะมันแพงเหลือเกิน ก็จะเล่นตัวนี้ได้เลย เพราะถ้าไม่ได้ตั้งใจจะจับกลิ่นกันจริงๆ มันฝาแฝดชัดๆ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน เพราะจะให้ความมีระดับและหรูหราแบบที่ Aventus ทำได้ไม่มีผิดเพี้ยน รวมถึงใส่ได้หมดทั้งทางการและไม่ทางการ ยังไงก็หอมแหละ ส่วนยามค่ำคืนจัดไปกับการออกงานจะดีที่สุด ใส่ไปเที่ยวพอได้ แต่ไม่ยั่วยวนอะไรนักก็เท่านั้น

ความทน – อันนี้แหละ ที่แตกต่างมาก เพราะ 6 ชม. กลิ่นก็เริ่มหายไปทีละหน่อยๆ จน 8 ชม. ก็หายต๋อมไปแล้ว ผิดกับ Aventus ที่ทนกว่ามาก

การกระจาย – อันนี้เป็นอีกอันที่แตกต่างเลยล่ะ กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และลดลงมากระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว และปิดท้ายที่ Skin Scent ผิดกับ Aventus ที่กระจายเป็นบาเรียหุ้มตัวไว้เลยและคงตัวการกระจายดีไปตลอดอย่างยาวนาว

ทิ้งท้าย – เอาไงล่ะทีนี้ เริ่มไปไม่เป็น มันเหมือนเกิ๊นนน 5555 ยังไงก็ตามแม้จะเหมือน Aventus แต่กลิ่นมันก็หอมเลยล่ะครับถ้าไม่ได้มานั่งจ้องจับผิดแบบผม แล้วราคามันถูกกว่า ตัวนี้ทดแทน Aventus ได้เลยล่ะครับ แหมมมม ต้องไป Shop แบรนด์นี้ซะแล้วสิเนี่ย 5555555

Credit ภาพhttp://lamartina.italart.it/wp-content/uploads/2014/01/TierradFuego_Pack.jpg