วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: L'Artisan Parfumeur - Explosions d’Emotions: Deliria


L'Artisan Parfumeur - Explosions d’Emotions: Deliria

มาระเบิดอารมณ์กับการสื่อสารผ่านโทนกลิ่นกันต่อเนื่องของไลน์ Explosions d’Emotions จาก L’Artisan Parfumeur ที่ได้เวลาสู่ความแปลกใหม่ที่ผสมผสานความหวานกับความเก๋ได้แบบมีความเฉพาะตัวมากรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งจะมาในลักษณะไหนก็ต้องเล่ากันหน่อยกับรุ่นนี้เลย Deliria 

Unique ได้อี๊กกกกกกกกกกก

มันคือการเจอกันของโทนเมทัลลิคที่กลิ่นเป้นโทนๆ โลหะกับกลิ่นโทนหวานออกทางขนม แต่ก็ไม่ได้ขนมมากเพราะยังมีลายเซ็นของความเป็น L’Artisan Parfumeur อยู่นั่นคือความโปร่งในเนื้อกลิ่นที่ไม่ได้ไปสายหวานแน่นข้นคลั่กแต่ประการใด กลิ่นเปิดตัวได้ชวนอึ้งพอสมควรเลยทีเดียวกับความเป็นกลิ่นอายโทนแอปเปิ้ลแดงออกทางไซรัปติดหวานปนเปรี้ยวเจือ พร้อมกับกลิ่นอายแบบโลหะเมทัลลิคออกทางเหล็กที่เจืออยู่แบบชัดเจนมาก และรู้สึกได้ถึงความเป็น Aldehydes ที่มาสายเปรี้ยวสะอาดโปร่งที่ซ่อนในกลิ่นทำให้กลิ่นมีความโปร่งพุ่งพอสมควร กลิ่นที่ได้แบ่งภาคกันได้เป็นอย่างดีทั้งกลิ่นอายโทนผลไม้หวานเจือเปรี้ยวและกลิ่นเหล็กคมๆ แต่ไม่บาดจมูกเพียงแต่จะแปร่งๆ จนทำให้รู้สึกว่ากลิ่นมันหวานแปลกๆ มากจนหลายๆ คนอาจจะ เบือนหน้าหนี พลางบ่นในใจว่า กลิ่นอะไรของมัน หวานปนเหล็กงงๆ 

และความเป็นเมทัลลิคจะยังคุมโทนเด่นต่อเนื่อง (ไปจนถึงช่วงท้าย) โดยในช่วงกลางกลิ่นอายของน้ำตาลสายไหมจะเริ่มเข้ามามีบทืบาทมากขึ้น เรียกว่าตัวเอก 2 ตัวมาเจอกันและต่างเด่นในทางของตัวเอง ซึ่งสายไหมให้ความหวานหอมที่มีชั้นเชิงแบบติดลั่นล้า และกลิ่นของโทนเมทัลลิคโลหะก็จะให้ความคมกำลังดีปนโปร่งๆ ถ้าเปรียบให้เห็นภาพคือสายไหมบนกองฝอยโลหะที่ติดร้อนนิดๆ จนมีกลิ่นออกมา ซึ่งจะมีความเป็นโทนปอเปิ้ลหวานจางๆ ติดขนมนิดๆ เจือให้พอรู้สึกได้อยู่ตลอด ทำให้กลิ่นมันมีความเป็นเอกเทศในตัวเองสูงมากในลักษณะหวานแหลมโปร่งๆ ที่แปลกเก๋ จะหวานก็ไม่ได้จ๋าเพราะมีกลิ่นโลหะมาคลอ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นกับกลิ่นในรูปแบบที่ไม่เคยได้เจอบ่อยๆ แบบนี้ได้ดีมาก แต่บางคนก็อาจจะบอกว่ากลิ่นมันแปลกไปจนคิดว่าไม่เข้ากันเลยแม้แต่นิดเดียวก็เป็นได้ด้วย 

จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายความหวานหอมของสายไหมกับความเป็นโทนเมทัลลิคโลหะจะเบาลงมากลิ่นจะหวานแบบโปร่งอ่อนๆ ปนอุ่นเบาๆ เนื้อกลิ่นมีโทนนวลๆ สะอาดๆ ของ Musk และอุ่นๆ ติดไม้หอมกำลังดีรองพื้น แต่สิ่งที่ชัดพอสมควรคือกลิ่นอายแบบเหล้ารัมที่จะเนียนๆ มาให้ความรู้สึกหวานกรุ้มกริ่มติดแอลกอฮอล์ดบาๆ เชื่อมความเป็นโทนหวานและโทนเมทัลลิคที่บางลงมาให้มาเจอกันเป็นเนื้อเดียวมากขึ้น ทำให้ได้ความหวานติดผิวกายแบบสบายๆ แบบไม่ใช่ขนบนิยมที่กลิ่นจะไม่ได้ถึงกับแปลกมากแต่ยังมีความเก๋เนียนๆ หอมรุมๆ หวานเบาๆ ลั่นล้าบางๆ ไปตลอดเรื่อๆ บนผิวนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ตราเอาไว้ว่า Unisex ซึ่งเอาเข้าจริงมีความค่อนไปทางผู้หญิงราวๆ 65 - 70% ได้ เพราะโทนหวาน แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายๆ เพราะมันโปร่งและกลิ่นอายโลหะนี่แหละที่มันทำให้กลิ่นแอบมีความแปลกกึ่งแมนๆ ไปตลอด ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่งั้นมันจะแปลกไปไม่พอ อาจจะอึดอัดเอาได้ถ้าจมูกไม่ชินกับกลิ่นหวานปนโลหะแบบนี้ ตัดการใส่เพื่อออกงานทางการและใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย แต่ถ้าใส่แบบทำงาน Office หรือทั่วๆ ไปอันนี้ได้ แปลก เก๋ และมีสไตล์ชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนจัดไปใส่ได้สบายมาก ถ้าจะเน้นพรีเซนต์ความเก๋ไม่เหมือนใครเรียกร้องความสนใจอันนี้ได้เต็มและชัดเจนแบบมีชั้นเชิงเสียด้วยนะ ไม่ได้ไก่กา 

ความทน - กลิ่นทนดีงาม พื้นฐานที่ 8 ชม. ได้อย่างสบายมาก ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 4 สเปรย์กดเต็มมิด กลิ่นยังคงอยู่ให้รู้สึกได้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าจะเหวอก็ตอนนี้แหละ แล้วจะค่อยๆ ทำให้เราคุ้นชินไปกับความแปลกเก๋หรือทำให้มองบนหาที่อาบน้ำก็แล้วแต่คนไป ก่อนจจะปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวเบาๆ ค่อนไปทาง Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ถ้าอิงกับประโยคคำโปรยของน้ำหอมรุ่นนี้ว่า Prepare to be thrilled. Your senses will be shaken into a delicious blur - เตรียมพร้อมกับความตื่นเต้นประสาทสัมผัสของคุณจะถูกเขย่าเร้าใจในความอร่อยที่คลุมเครือ มันก็ใช่ตามที่บอกจริงๆ แบบไม่มีข้อโต้แย้งอะไรในความแปลก เก๋ และมีเสน่ห์ในอีกรูปแบบที่ได้ลิ้มลอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Pinterest
--> https://i.pinimg.com/originals/fc/2a/2c/fc2a2c0489aae6a4ba3815971de79f0f.jpg

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Moresque - Fiore di Portofino

Moresque - Fiore di Portofino

Moresque เป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche จากอิตาลีที่เพียงแค่เห็นขวดก็สามารถทำให้ร้องออกมาได้ว่า “อู้วหูวววว ขวดสวยเพราะ Concept ของแบรนด์เน้นการ Design ขวดแบบสไตล์อิตาลีที่มีความหรูหรา Luxury ในตัวผสมผสานกับการศิลปะการทำน้ำหอมแบบตะวันออกกลาง โดยมีแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมและสไตล์แนวราชวงศ์ของชาวมัวร์ (ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่แถบไอบีเรียและแอฟริกาเหนือ) ซึ่งที่มาที่ไปก็เรียกว่ามาเต็มขนาดนี้ เมื่อมีโอกาสได้พบเจอมีหรือที่จะไม่จัดหามาลองกันหน่อยว่ากลิ่นอายจะเป็นลักษณะไหน เช่นนั้นก็ลองและมาเล่ากลิ่นกันหน่อยกับรุ่นแรกของแบรนด์นี้ นั่นคือ Fiore di Portofino

เจอคำว่า Portofino เดาได้เลยว่าต้องมาในสไตล์แบบอิตาลีแน่นอนมั่นใจได้ และต้องมีความรู้สึกแบบหมู่บ้านชื่อดังริมทะเลชื่อเดียวกันนี้แน่นอน และก็ต้องบอกว่า ใช่เพราะกลิ่นอายจะมาสายบรรยากาศเสียมาก โดยเปิดตัวกันที่ความเป็น Citrus สดชื่นของเลมอนที่มีได้ความเปรี้ยวเจือหวานปลายจะวูบมาพร้อมกับกลิ่นอายดอกส้มที่ติดเขียวปนเปรี้ยวแต่ก็มีความนวลบางๆ แบบสไตล์ดอกส้มสกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) แต่กลิ่นก็จะมีความเขียวนวลปร่านุ่มติด Spicy หน่อยๆ ของโหระพาที่เจือไปตลอด ซึ่งเนื้อกลิ่นเหมือนจะไพล่ไปสาย Citrus ติดฉ่ำแต่เปล่าเลย เพราะกลิ่นโทนเขียวโปร่งอมหวานเบาๆ สไตล์ดอกกระถินเทศสีเหลือง (Mimosa) ติดโทนแป้งบางๆ จะเข้ามาผสมผสานและปล่อยของเร็วพอสมควร เลยทำให้กลิ่นอายในช่วงนี้ไม่ได้มาสาย Citrus แบบแห้งๆ มากกว่าจะเป็นสายฉ่ำแบบที่น้ำหอมอิตาลีมักจะมาสไตล์นี้ แต่ก็พอกล้อมแกล้มไปได้อยู่เพราะกลิ่นสร้างบรรยากาศแบบอากาศสดชื่นฟ้ากระจ่างหอมแบบสูดอากาศแล้วหลับตาพริ้มฟินในบรรยากาศริมทะเลและมีความเขียวติดปร่านวลเจือและกลิ่นอายลักษณะโทนดอกไม้จะเริ่มเด่นนำโดนดอกกระถินเหลืองที่ไม่ได้ไปสายหวานโปร่งเลย มีให้พอรู้ว่าเป็นกระถินยังอยู่นะจ้ะ ออกแนวโดนลดทอนลงไปด้วยกลิ่นโทนปร่าๆ เผ็ดๆ กึ่งกานพลูนวลดอกไม้ของดอกคาร์เนชั่นที่มีความเป็นแป้งแบบบางเบาของดอกไอริสให้พอสัมผัสได้ ซึ่งกลิ่นโทน Citrus ติดเขียวนวลในตอนต้นจะยังตามมาอยู่ในช่วงนี้แบบให้ความรู้สึกสดชื่นอยู่ไม่หนีไปไหน แถมมีลูกคู่มารับช่วงเสียด้วยอย่างกลิ่นอายของดอกเจอราเนียมที่ให้ความเป็นกึ่งกุหลาบกึ่งเขียวเปรี้ยวสดชื่นที่ค่อนข้างชัด กลิ่นเลยจะไม่ได้ไปโทนหวานเลย ได้ความเป็น Airy แบบอากาศดีๆ มีความสะอาดติดปร่าแบบอากาศดีๆ มีความเป็นดอกไม้บางๆ ลอยมาให้พอรับรู้ไปตลอดเสียมาก ซึ่งก็ยังคุมโทนความเป็นกลิ่นอายบรรยากาศได้เป็นอย่างดี และยังส่งต่อไปยังช่วงท้ายโดยที่ยังไม่ลดความเป็นกลิ่นอายบรรยากาศที่มีความสดชื่นติดแห้งๆ ปนดอกไม้บางๆ ในอากาศ แต่จะมีความเป็นโทนสะอาดที่มากขึ้น โดยที่มีอายของไม้หอมติดแห้งๆ ที่จับต้องได้กำลังดีรองพื้นอยู่ และสัมผัสได้ถึงกลิ่น Musk ที่บ๊างงงงงบาง กลิ่นติดเค็มจางๆ แต่ก็มีความอบอุ่นแบบอ่อนๆ ให้พอจับต้องได้ ซึ่งแน่นอนยังคุมโทนความเป็นกลิ่นอายแบบปลอดโปร่งเหมือนอากาศดีๆ มีกลิ่นเขียวปร่าปนดอกไม้เบาๆ มีความสะอาดสดชื่นบางๆ เหมือนบรรยากาศยืนบนเขาริมทะเลที่ลมพัดมาแบบกำลังดีสบายๆ ไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex กันอย่างชัดเจนมาก เพราะนอกจากเป็นกลิ่นสายบรรยากาศแล้ว ยังใช้ง่ายมาก เพราะให้หมดทั้งความสดชิื่นสะอาด ความสบายๆ เรียบๆ แต่ติดหรูกำลังดีไปตลอด จึงเหมาะกับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมด ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ลามไปสายออกกำลังกายหรือชิลล์ๆ ก็ไม่หวั่น ส่วนยามค่ำคืนอันนี้ตัวใครตัวเผือก เพราะกลิ่นมันดันมาสายเบาไป โดนกลบมิดแน่นอน 

ความทน - มีความแกว่งอยู่พอสมควร แต่เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ราวๅ 4 - 6 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด แต่ถ้าสเปรย์ลงตัวกลิ่นจะทนขึ้นได้อีก เพราะลองแล้วที่ 7 สเปรย์ ลากไปได้ 8 ชม. สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น ให้ความสดชืิ่นได้ลงตัวและปลอดภัยมาก ตามด้วยลดลงไปเป็นออร่ารอบๆ ตัว ปิดท้ายด้วย Skin Scent ซึ่งชัดเจนเลยว่ามาสาย Safe Scent ปลอดภัยหายห่วง 

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีความสบายๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ จริงอะไรจริง แต่อาจจะไม่ได้หวือหวานัก และไม่ได้ไปสายแขกแบบที่มาที่ไปของแบรนด์เสียด้วย ซึ่งเข้าทางเต็มๆ กับคนที่ชอบกลิ่นอายสบายๆ มีความเป็นบรรยากาศไม่พอ ยังเข้ากับคนที่ชอบกลิ่นอายแบบ Safe Scent ที่ติดเรียบหรูได้ดีเสียด้ว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Moresque Parfum’s Website -->
http://www.moresqueparfum.com/images/fioreportofino.jpg

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Prada - Infusion d’Iris Cedre

Prada - Infusion d’Iris Cedre 

หลังจากที่ Prada เลิกผลิตรุ่น Infusion d’Homme ไป ทำเอาคนที่ชอบต่างก็มีความเซ็งกันไปตามๆ กัน เพราะว่าของดีแบบนี้ทำไมเลิกผลิต จนต่างหามาครอบครองก่อนที่จะหาไม่ได้กันให้ควั่ก แต่ในปี 2015 กลับมารุ่นที่เป็นน้ำหอม Unisex เกิดขึ้นมาในไลน์ Infusion d’Iris อยู่ตัวหนึ่งนั่นคือ Infusion d’Iris Cedre กับการบอกเล่ามาว่ากลิ่นอายตัวนี้มีมันคือรุ่นผู้ชายที่เลือกผลิตไปแต่อัพเกรดขึ้นมาเป็น EDP เช่นนั้นมีหรือที่จะไม่พลาด และสิ่งที่ได้รับรู้และประมวลผลออกมาหลังจากได้ใช้งานเต็มๆ คือ 

มันคือการอัพเกรดจริงๆ ด้วยแหละ เพราะเอาความเป็น Infusion d’Homme มายกเซท เพียงแต่เพิ่มเติมความเป็นโทนไม้หอมกับโทนธูป Incense เข้ามามากขึ้น แต่ยังยืนพทื้นที่ลักษณะกลิ่นอายโทนสบู่และแป้งได้อย่างดีงาม ให้กลิ่นมีความลุ่มลึกอย่างลงตัวมากขึ้น โดยกลิ่นเปิดมากับลักษณะโทนแป้งติดดอกไม้ติดจืดอับบางๆ สไตล์ดอกไอริสที่มีความสดชื่นของดอกส้มติดเขียวปนความเป็น Citrus ที่บางมากๆ ประปรายให้รู้สึกได้ ซึ่งความนุ่มยังมีอยู่ให้จับต้องได้แบบกลิ่นอายโทนสบู่แต่จะมีความเข้มข้นขึ้นจากโทนไม้หอมขรึมๆ กลั้วความเป็น Smoky บางๆ ในเนื้อกลิ่นที่รองพื้นอยู่ จะเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงกลาง ที่จะกลายเป็นตัวเด่นมากขึ้นและจับได้ชัดเจนถึงกลิ่นอายของไม้ซีดาร์ ที่มีความโปร่งขรึม กลั้วกลิ่นอายไม้แห้งๆ ผสมผสานความ Smoky ที่กำลังดีไปตลอดจากโทนธูป Incense ซึ่งกลิ่นไม่ได้ไปสายดาร์กแต่ประการใด มาสายสะอาดออกทางโทนสบู่อวลไม้หอมติด Smoky เสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่สำคัญเทียบเท่านั่นคือ โทนแป้งติดดอกไม้จืดอับบางๆ ที่เป็นลักษณะของกลิ่นอายแบบดอกไอริสที่ชัดเจน แถมด้วยกลิ่นอายติดสดชื่นที่บางเบาเจืออยู่เสียด้วย ซึ่งจะล้อมกลิ่นอายของโทนไม้หอมติด Smoky เรียกว่าเป็นการผสมผสานกันได้ลงตัวไม่พอยังแบ่งเค้กให้รู้สึกได้ทั้ง 2 โทนกลิ่นที่ทำออกมาได้ดีและมีความเรียบหรู และมีระดับ ให้อารมณ์สมาร์ทสีขาวสว่างเรียบหรูเนี้ยบกำลังดีเสียด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเริ่มกลายเป็นโทนแป้งที่เทคโอเวอร์โทนทั้งหมดมากขึ้นในช่วงท้าย เพราะจะกลายเป็นกลิ่นออกทางแป้งหอมติดนุ่มนวลเซ็กซี่ปนกลิ่นไม้หอมโปร่งได้อย่างลงตัว เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนยางไม้ติด Incense กำลังดีกล่อมโทนแป้งให้มีความอบอุ่นเจือไปตลอด ทำให้กลิ่นมีความดึงดูดและน่าค้นหาแบบโปร่งๆ สว่างๆ อวลๆ ได้ความรู้สึกเซ็กซี่กำลังดีและมีคลาสแบบที่ไม่ต้องจงใจ ได้ความรู้สึกหรูหราติดเนี้ยบน่าค้นหาที่บ่งบอกรสนิยมคนใส่ว่าไม่ธรรมดานั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Prada ตราเอาไว้ว่าตัวนี้เป็น Unisex แต่เนื้อกลิ่นค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าราวๆ 65 - 70% แต่ยังไงสาวๆ ก็ใส่ได้สบายมาก โดยเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งยามทางการที่เข้าทางมาก หรือทั่วๆ ไป ที่จะสร้างความนุ่มนวลปนขรึมเนี้ยบในบุคลิกก็สามารถ ใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายแม้ว่าจะพอได้ แต่ให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ไม่งั้นจะอบอวลจนมึนกับความเข้มของกลิ่นที่ตีขึ้นเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ออกงานได้สบาย จะใส่ท่องราตรีแบบมีมาดหน่อยก็สามารถ เพราะจะได้ความเนี้ยบหรูที่ลงตัวและแตกต่าง (แต่อาจจะสู้โทนหวานยั่วทั้งหลายเหนื่อยหน่อยก็เท่านั้นเอง) 

ความทน - กลิ่นทนจัดมากเพราะความเข้มข้นเป็น EDP ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งความทนโดยเฉลี่ย 8 ชม. สบายๆ และมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 15 ชม. เลย ถือว่ายกนิ้วให้เรื่องนี้เต็มๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะลดลงมากระจายปานกลางพักใหญ่ๆ ราวๆ 3 ชม. จะลงมาเป็นออร่ารอบๆ รอบแบบยาวไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจนั่นแล 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้เรียกว่าเป็นการอัพเกรดตามที่บอกข้างต้นไม่พอ ยังเป็นการเอารุ่น Infusion d’Homme มาผสมกับ Infusion d’Iris ได้อย่างลงตัวมากเสียด้วย เลยเป็นอีกหนึ่งกลิ่นอายที่มีระดับแบบไม่ต้องพูดเยอะสิ่งแต่เอาอยู่ในแง่ของการสร้างบุคลิกทางด้านกลิ่นที่ดีและลงตัว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Amazon.it
-->  https://images-na.ssl-images-amazon.com/images/I/61Z9WZYPt7L._SL1000_.jpg

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Tauerville - Tuberose Flash


Tauerville - Tuberose Flash 

กลับมาสู่สาย Flash ของ Tauerville ที่ห่างหายไปพักใหญ่ ซึ่งคราวนี้ได้เวลาของโซนดอกไม้ขาวที่กลิ่นถือว่ารัญจวนมากมายสุดๆ อย่างซ่อนกลิ่น (Tuberose) ที่มาเป็นหนึ่งในครอบครัวตัว Flash กันบ้าง ซึ่งจะออกมาในลักษณะกลิ่นเช่นไร ก็ได้เวลาเล่า
 

Tuberose Flash ถือว่ามาในกลิ่นอายที่มีความ Modern โดยที่มีกลิ่นของซ่อนกลิ่นเป็นศูนย์กลางของน้ำหอมแบบยาวไป แต่ไม่ได้มาในสายดอกไม้ขาวครีมมี่จัดจ้านและแน่นเต็มกำลังมากแบบที่เรามักจะได้กลิ่นอายในน้ำหอมโทนคลาสสิคนัก ซึ่งเปิดตัวต้นกลิ่นด้วยความเป็นกลิ่นอายซ่อนกลิ่นติดกลิ่นอายซ่าๆ โปร่งจมูกของมินต์และมีความเป็นโทน Citrus ติดเปรี้ยวหน่อยๆ ให้บรรยากาศที่สดชื่นในความเป็นดอกไม้ กลิ่นมีลักษณะเมนทอลเย็นๆ เจือให้พอรับรู้ได้ เคล้ากับกลิ่นนวลติดตุ่ยๆ เจือสไตล์แบบกลิ่นของมะลิธรรมชาติที่จะมีกลิ่นติดโทนตุ่ยๆ หน่อยๆ ซึ่งถือว่าความเป็นซ่อนกลิ่นยังคงชัดเจนมีความกลางๆ มีความสดชื่นคลอล้อมรอบแบบที่ไม่ได้ไปข้นคลั่กเกินไป ให้ความรู้สึกธรรมชาติสบายๆ มากกว่าที่คิด จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางก็ได้เวลารวมฮิตติดดาวดอกไม้ขาว 3 ประสานมากขึ้น ซึ่งซ่อนกลิ่นจะให้ความครีมมี่แบบกำลังดี มีกลิ่นนวลสะอาดของดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) กับความนวลกึ่งใสของมะลิคลอความนวลครีมติดข้นแต่ไม่หนักไปตลอด กลิ่นสดชื่นในตอนแรกจะดรอปลงไปเหลือบางๆ ให้กลิ่นดอกไม้ขาวคุมโทนให้ความครีมมี่ นุ่มนวล และเย้ายวนตามสไตล์น้ำหอมที่ซ่อนกลิ่นเด่นนำ โดยจะให้อารมณ์เซ็กซี่เย้ายวนสมกับอีกชื่อหนึ่งของดอกไม้ประเภทนี้ว่า ซ่อนชู้ได้ชัด แต่เพียงไม่นานจะเริ่มสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายของโทนอบอุ่นที่ค่อยๆ แทรกขึ้นมาทีละหน่อย และดึงกลิ่นโทนดอกไม้ขาวเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะจับได้ว่ามีความเป็นกลิ่นอายยางไม้กึ่งวานิลลาที่มีความหวานเย้าเจืออยู่ของกำยานกับกลิ่นแอมเบอร์ที่ให้โทนอบอุ่นติด Animalic สาปปลุกเร้าบางๆ แอบคลาสสิคเบาๆ กลิ่นจะนวลมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ข้นทำให้ได้ความรู้สึกหวานนวลครีมอบอุ่นกำลังดี ชูโรงความเป็นซ่อนกลิ่นได้ชัดอยู่เช่นเดิม ยังไม่พอมีกลิ่นอ้อยอิ่งบางๆ สากหน่อยของพิมเสนที่ทำให้กลิ่นมีลูกเล่นที่สร้างเสน่ห์ดึงดูดในกลิ่นให้มิติเย้ายวนกับความเป็นดอกไม้ขาวอบอุ่นได้น่าสนใจมากเลยทีเดียว 

ภาพรวมได้ความรู้สึกเหมือนผู้หญิงใส่โทนขาวแต่มีความซีทรูให้รู้สึกดึงดูดสายตาและน่าค้นหา รู้ว่าเสน่ห์ของตัวเองเป็นในลักษณะไหน และจะบริหารออกมายังไง ภาพแบบนี้ชัดเจนขึ้นมาในหัวเลยทีเดียวยามใช้กลิ่นนี้ 

เหมาะสำหรับ - จริงๆ ตราเอาไว้ว่า Unisex แต่เพราะการเป็นโทนดอกไม้ขาว เลยไพล่ไปทางสาวๆ เสีย 70% ได้ แต่ยังไงผู้ชายก็ยังใส่ได้อยู่ ยิ่งถ้าใส่กับชุดโทนดำจะสร้างออร่าความน่าค้นหาได้มากเสียด้วย ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะหนักไปจนชาวบ้านมองหน้าและหลอนเอาว่าใครขี่คอคนใส่มาหรือเปล่ากลิ่นดอกไม้ขาวมาแรงขนาดนี้โดยใส่ได้ทั้งช่วงทางการและทั่วๆ ไป รวมถึงใส่กลางแจ้งก็พอได้บ้าง แต่ข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลยเดี๋ยวจุกคอหอยตายเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนเรีกยว่าจัดไป กลิ่นได้อารมณ์ขาวแต่น่าค้นหา มีความดึงดูดได้ชัดและหวานเย้าแบบมีชั้นเชิง เรียกว่าเซ็กซี่นะ แต่ฉลาดพอและไม่ง่าย

ความทน - อันนี้ยกนิ้วให้เลย 8 ชม. ขึ้นไปได้สบายมาก ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังอยู่กับการใช้ไปราวๆ 5 สเปรย์ ซึ่งถือว่าดีงามเลยสำหรับเรื่องนี้ 

การกระจาย - กระจายดีในตอนต้น เรียกว่าได้ความเป็นครีมๆ แต่สดชื่นสบายจมูกได้ดีมาก ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไป จนมาถึงช่วงท้ายจึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป 

ทิ้งท้าย - ที่ผ่านมาในแต่ละครั้งเวลาได้กลิ่นซ่อนกลิ่นเด่นๆ ในน้ำหอมมักจะมีอาการเวียนหัวจากน้อยไปมากแล้วแต่ความเข้มข้น แต่พอมาตัวนี้กลับกลายเป็นดีเกินคาดที่ไม่เวียนหัวและมีความหอมนวลครีมมี่เย็นๆ ก่อนไปสู่ความครีมมี่อุ่นๆ ได้ลงตัวเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - เข็มขัดสั้น


วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Clean - Outdoor Shower Fresh

Clean - Outdoor Shower Fresh 

เคยอาบน้ำกลางแจ้งกันไหม? อาจจะทั้งแบบอาบน้ำกลางแจ้งจริงๆ แบบนุ่งผ้าขาวม้า/ผ้าถุงในสวน อาบน้ำที่น้ำตก หรืออาบน้ำแบบห้องน้ำที่มีท้องฟ้าเป็นหลังคาในรีสอร์ทต่างๆ ซึ่งแม้ว่าจะมีการเขินอายบ้างตามแต่ละคนแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาบน้ำกลางแจ้งแบบบรรยากาศดีๆ มีความเป็นธรรมชาติ มันก็ฟินไม่ใช่น้อยเลย เพราะทั้งกลิ่นอายสบู่หอมๆ กลิ่นอายน้ำสดชื่นที่มากระทบตัว และกลิ่นบร
รยากาศรอบกายมันมีความรื่นรมย์มากจริงๆ เช่นนั้น ในเมื่อเห็นว่าแบรนด์ Clean ทำน้ำหอมออกมาเน้นที่กลิ่นอายของการอาบน้ำสดชื่นกลางแจ้ง ได้โอกาสก็ต้องลองสิจะไปไหนเสีย 

Outdoor Shower Fresh เปิดต้นกลิ่นมาด้วยความสดชื่นปนเขียวหอมนวลเจือหวานมาก่อนเลย ซึ่งกลิ่นอายสดชื่นแบบโทน Aquatic แบบน้ำใสๆ จะชัดเจนมากท่ามกลางกลิ่นอายของใบไวโอเล็ตที่ให้โทนเขียวนวลมีความเป็นแตงกวาจางๆ เคล้ากับกลิ่นหอมหวานโปร่งของดอกบัวสายที่ก็มาเต็มแต่ไม่หนักหน่วงเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดมาในเนื้อกลิ่นจะมีโทน Citrus เปรี้ยวปนขมหอมบางๆ เจือๆ อยู่แต่ออกแนวมาสร้างมิติสดชื่นให้โทนน้ำมากกว่าจะโดดเด่น เนื้อกลิ่นมีวูบของเป็นกลิ่นอายโทนสบู่หอมดอกไม้หวานโปร่งก็ได้ เป็นกลิ่นอายธรรมชาติแบบพืชพรรณเขียวผสมกับดอกไม้ก็สามารถ จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นอายของโทนดอกไม้หอมโปร่งหวานและนวลจมูก ได้อารมณ์สบู่ดอกไม้ฟุ้งกำลังดีออกมายืนพื้นที่ความเป็นกลิ่นอายหวานติด Aquatic ของดอกบัวสาย และกลิ่นอ้อยอิ่งติดเขียวรวยรินของดอกกระดิ่ง (Lily-of-the-valley) ที่ผสมผสานกันแต่จับได้ในความต่างที่ควรจะเป็น โดยที่กลิ่นอายเขียวๆ ของใบไวโอเล็ตจะมีบางๆ เขียวนวลเคล้ากลิ่นโทนน้ำที่มีความฉ่ำสะอาดปนหวานรองพื้นไปอยู่ตลอด ช่วงนี้เลยชัดเจนได้อารมณ์อาบน้ำกลางแจ้งที่สดชื่นเคล้ากลิ่นสบู่ดอกไม้ที่ชัดเจนไปตลอด ซึ่งกลิ่นจะเริ่มนวลมากขึ้นเพราะมีกลิ่นโทนนุ่มสะอาดของ Musk ที่เสริมเข้ามาเรื่อยๆ จนนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นจะมีความนวลหอมดอกไม้โปร่งหวานกำลังดี มีความเขียวหน่อยๆ ปนกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ได้ความรู้สึกแบบโทนสว่างออกทางสีขาวที่มีความหวานอ่อนโยนเจือๆ ความฉ่ำน้ำจะเริ่มจางลงไปเหลือเบาบาง ให้อารมณ์แบบหลังอาบน้ำเสร็จกลิ่นอายสบู่หอมดอกไม้ติดผิวกายนวลๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิวนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - สาวๆ ทุกเพศวัย ม.ปลาย เป็นต้นไป ก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก เพราะมาสายดอกไม้ Aquatic ฉ่ำๆ สดชื่น ซึ่งเข้ากับอากาศบ้านเราสุดๆ โดยสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน กวาดหมดเกลี้ยงแม้ออกกำลังกายก็ใส่ได้ มีความครอบจักรวาลสุดๆ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปผ่อนคลายหลังอาบน้ำหรือสบายๆ ชิลล์ๆ จะดีกว่าใส่ไปท่องราตรีที่กลิ่นสู้ชาวบ้านที่มาสายหวานเยิ้มยั่วสุดตัวไม่ได้แน่นอน ส่วนคุณผู้ชายเอาจริงๆ กลิ่นนี้ไม่ได้ปล่อยพลังมากและมีความ Unisex ประปรายให้สัมผัสได้ เช่นนั้นใช้ได้สบายมาก หอมมากด้วยแหละ

ความทน - ค่อนข้างแกว่งกับราวๆ 4 - 8 ชม. ซึ่งต้องพึ่งจำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด สภาพผิวกาย และสภาพอากาศด้วยในระดับหนึ่ง ส่วนเจอเจอนานที่สุดคือ 8 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 7 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนปิดท้ายด้วย Skin Scent เรียกว่ามาสายสดชื่นไม่พอ ยัง Safe Scent มากๆ อีกด้วย 

ทิ้งท้าย - เอาไปเลยตำแหน่งนีี้ #ของดีเทคนิคไม่ต้องเพราะกลิ่นสดชื่นได้อารมณ์อาบน้ำกลางแจ้งกับสบู่ดอกไม้หอมๆ เคล้าบรรยากาศเขียวโปร่งอมหวานได้ดีมากจริง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Beautyplanet.se --> https://1670217375.rsc.cdn77.org/storage/ma/0ed70446bd254eef9538b7671b2999ac/0e67f95f8619407aaaf854f7a50fdfae/jpg/5D54B855CFDD4AD4C64513A676903135D69A52F8/P-3871.jpg

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Houbigant - Fougere Royale (2010)

Houbigant - Fougere Royale (2010) 

มันคือความดีงามในการบอกเล่ากลิ่นอย่างหนึ่งเลย เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสได้มาเจอกับแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1775 จนถึงปัจจุบันที่ส่งต่อความ Classic สู่ Modern ได้อย่างดีงามมาเสมอต้นเสมอปลายอย่าง Houbigant ซึ่งยังไม่พอกลิ่นอายที่จะมาบอกเล่าก็เป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของโทน Aromatic Fougere ที่สร้างกลิ่นอายสไตล์เฟิร์นและความเขียวสดชื่นผ่อนคลายจมูก เช่นนั้น ได้เวลาบอกเล่ากันแล้วว่าคึวามเหนือกาลเวลาของรุ่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง 

บอกก่อน - กลิ่นอายที่จะบอกเล่าจะเน้นที่ Fougere Royale รุ่นปรับสูตรและวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ซึ่งส่วนตัวไม่เคยได้ลองรุ่Original จึงจะไม่ได้มีการเปรียบเทียบหรือบอกความเชื่อมโยงใดๆ 

เปิดตัวกลิ่นอายด้วยความสดชื่นระหว่างความเขียวสมุนไพรกับโทน Citrus ที่มีความซ่าๆ ติด Spicy หน่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะแบบน้ำหอมผู้ชายสไตล์ฝรั่งเศสที่จะมีลักษณะแบบนี้ให้รู้สึกได้ไม่ยาก ที่สำคัญจะมีกลิ่นนวลๆ ของดอกคาโมมายด์ผสมผสานกับความนุ่มของลาเวนเดอร์ที่ติดเขียวสมุนไพรหน่อยๆ ออกทางสบู่กลายๆ แต่ไม่ข้นหนัก และยังมีกลิ่นอายเขียวๆ ปนดาร์กแมนๆ เจือให้พอรู้สึกได้เสียด้วยจาก Oak Moss ทำให้กลิ่นช่วงต้นได้ความรู้สึกสดชื่นแบบแมนๆ ไม่ได้ออกทางกลิ่นคมๆ มาเต็มแบบน้ำหอมผู้ชายยุค 80 นัก เน้นมาสายความสดชื่นติดหรูนิ่งๆ กึ่งๆ สายกลิ่นสะอาดแนวๆ Aftershave หรูๆ ของผู้ชายหน่อยๆ เป็นตัวเดินเกมแทน และเดินตั้งแต่ต้นยันจบของน้ำหอมเสียด้วยซ้ำ 

เมื่อมีกลิ่นอายของโทนเผ็ดปร่าๆ Spicy แบบกึ่งโปร่งๆ ผสมกลิ่นอายกุหลาบบางๆ ดันเข้ามาเรื่อยๆ ก็เป็นการเดินเข้าสูช่วงกลางของน้ำหอมชัดเจน เด่นที่กลิ่นอายของดอกเจอราเนียมที่ให้ความเป็นกุหลาบบางๆ ติดเปรี้ยวสดชื่น และยนังมีความปร่าๆ ติดเขียวหน่อยๆ เสียด้วยจากคาร์เนชั่นที่ให้ความรู้สึกติด Spicy แมนๆ สะอาดๆ โดยกลิ่นอายในช่วงต้นจะยังตามมาผสมผสานอยู่ให้ความรู้สึกแบบแนวๆ สบู่อยู่เช่นเคย เนื้อกลิ่นมีความอุ่นกำลังดีเจือเครื่องเทศเผ็ดร้อนบางๆ คลอไปตลอด แต่ที่จะรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้นคือกลิ่นของ Oak Moss ที่เริ่มปล่อยของเรื่อยๆ จากที่เป็นฉากหลังมาตั้งแต่ช่วงต้น และจะกลายเป็นตัวหลักขึ้นมาในไม่นานกับการนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่ Oak Moss จะไม่ได้มาแบบเข้มจัด มีความเรียบๆ ติดดาร์กเขียวแมนๆ กำลังดี อ้อยอิ่งรอบๆ ด้วยพิมเสนเบาๆ โดยกลิ่นจะมีความเป็นสมุนไพรปร่าๆ เจือลาเวนเดอร์ผสมผสานให้จับต้องได้เป็นเลเยอร์ที่รองลงมา รวมถึงมีความครีมมี่กึ่งหญ้าแห้งนิดๆ จากสาร Coumarin ที่ได้จาก Tonka Bean รองพื้นอยู่ กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึกสุภาพบุรุษที่กึ่งคลาสสิคกึ่งร่วมสมัยเรียบหรูกึ่งสบายๆ เข้าถึงได้ง่ายกลิ่นไม่หนักเกินไป มีความกลางๆ ดีๆ ไปตลอด ซึ่งทุกสเต็ปของน้ำหอมกลิ่นนี้ แม้ว่าจะเป็นตัวปรับสูตร ทำขึ้นมาใหม่แนวๆ Tribute ต้นตระกูลที่อยู่ยืนยาวมาเป็น 100 ปี ก็จริง แต่คุณภาพส่วนผสมถือว่าจัดเต็มชัดเจน ทำให้ได้กลิ่นที่ดีคลาสและมีระดับ โดยที่ให้ความเป็นน้ำหอมของสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์ในความเรียบหรูได้ดีงามจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบาย แม้ว่ากลิ่นจะมีความคลาสสิคเจือปนอยู่ในนั้น แต่มันก็มีความร่วมสมัยมากพอที่บ่งบอกถึงความเรียบหรูมีระดับของผู้ที่ใช้งานกลิ่นนี้ได้ชัดเจนมาก จึงสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ออกกำลังกายยังได้เลย เพราะพื้นฐานกลิ่นมีความเขียวติดสมุนไพรจึงเข้ากับกลิ่นเหงื่อได้ในระดับหนึ่งเสียด้วย ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปหรือว่าออกงานได้หมด แต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีที่มีแต่คนพยายามจะปล่อยของกันนัก เพราะโดนกลบแน่นอน 

ความทน - ดีงาม เพราะอยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งจะมากหรือน้อยกว่านั้นก็อิงตามจำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด และสภาพผิวกายของบุคคลนั้นๆ ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางในช่วงกลาง แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่าเบาๆ รอบตัวในช่วงท้าย พ้นไปซัก 6 ชม. ถึงกลายเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีความร่วมสมัยได้ดีงามมาก แตะได้ทุกความเป็นผู้ชายที่มีความเรียบหรู สะอาดสะอ้าน และมีระดับจริงๆ รวมถึงคาบเกี่ยวทั้งความ Classic กับ Modern ได้อย่างลงตัวมาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Basenotes
--> http://www.osmoz.com/Public/Files/perfume/houbigant_fougere_royal_edp_100ml_7cd35cc4a5.jpg

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Avon - Haiku Reflection

Avon - Haiku Reflection 

ถือเป็นหนึ่งในขวดที่ดึงดูดสายตาอย่างมากมาเสมอสำหรับไลน์ Haiku ของ Avon ที่เป็นรูปทรงเจดีย์แบบญี่ปุ่น ซึ่งจากที่เมื่อนานมาแล้วได้บอกเล่ากลิ่นอายสไตล์เอเซียเน้นที่กลิ่นแนวๆ ดอกไม้ขาวใสๆ ที่เป็นหนึ่งใน Signature ที่ แบรนด์ทำได้ดีมาเสมอ กับความเรียบนิ่งมีระดับของรุ่น Haiku ปกติมาแล้ว ก็ได้เวลามีโอกาสต่อยอดกันหน่อยเพราะมีโอกาสได้เจอและจัดมาครอบครองกับรุ่น Hai
ku Reflection ที่จะมาสะท้อนความสงบสุขและความเรียบนิ่งมีระดับในกลิ่นตามคำโปรบมากแค่ไหน ได้เวลาจัดเต็มผลที่ออกมาคือ 

เป็นหนึ่งในโซน Floral Aqautic ติด Fruity ได้ลงตัวมากเลยทีเดียว โดยยังคงคุมโทนความเป็น Signature ทางด้านดอกไม้ขาวใสๆ ได้ครบถ้วนมาก โดยเปิดทางกันที่ Top Notes ที่ได้ความเป็นกลิ่นอายใสๆของความเป็นโทนน้ำสดชื่นปนหวานดอกไม้กับลูกแพร์ที่มีความฉ่ำกลางๆ กำลังดี กลิ่นมีความเยือกเย็นนิ่งๆ ในระดับหนึ่งท่ามกลางความหวานโปร่งหอมที่ฟุ้งกระจายออกมา ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้ความเป็นโทนน้ำเหมือนเราได้กลิ่นน้ำที่ลอยมาเวลายืนริมทะเลสาปที่สะอาดและสงบลอยเข้ามาจะเป็นเหมือนตัวล้อมกลิ่นให้มีความสดชื่นได้อารมณ์สีฟ้าเจือความหวานไปตลอดที่เด่นเป็นสง่ามาเลย และยังส่งต่อให้กับ Middle Notes ที่ความเป็นโทน Aqautic ของกลิ่นอายน้ำจะยังคงอยู่แต่จะได้ความรู้สึกสดชื่นติดเขียวปน Spicy เผ็ดจางๆ เจือเข้ามา ซึ่งเป็นกลิ่นอายแบบดอกฟรีเซียที่ให้โทนขาวสว่างเขียวเผ็ดปร่านวลที่ได้อารมณ์กึ่งโทนสบู่บางๆ กำลังดีรองพื้นด้านหลังท่ามกลางกลิ่นอายดอกไม้ขาวใสๆ คล้ายความเป็นมะลิหน่อยๆ เคล้ากับมีความสดชื่นใสๆ ติดโทน Citrus ที่น่าจะเป็น Magnolia ที่มักให้โทนแบบนี้ กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึกเหมือนน้ำกลิ่นดอกไม้ขาวที่ติดนวลๆ หอมหวานใสเจือกลิ่นผลไม้หวานหน่อยๆ หรือถ้าจะเอาใกล้ตัวก็แอบเหมือนผ่อนคลายหลังอาบน้ำเสร็จ มีกลิ่นอายสบู่หอมดอกไม้เจือผลไม้จางๆ ก็ได้ด้วยเช่นกัน ทำให้รู้สึกสดชื่นแบบไม่ได้จัดจ้านแต่ลงมามากเลยทีเดียว จนเมื่อเริ่มจับได้ถึงลักษณะของกลิ่นอายสะอาดนุ่มๆ ของ Musk ที่เสริมเข้ามาเรื่อยๆ กลิ่นจะเข้าสู่ Base Notes กันเต็มๆ กับโทนนุ่มสบายผ่อนคลายและ Relax ซึ่งโทนดอกไม้ขาวที่ใสๆ ในช่วงกลางจะผันตัวมาสายครีมมี่กำลังดี ได้ความรู้สึกอ่อนโยนแกล้มหวานหอมไปในตัว ซึ่งในเนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นเบาๆ เสริมให้กลิ่นมีมิติแนวๆ ผิวกายอบอุ่นนุ่มๆ เสียด้วย เลยทำให้ช่วงนี้จะได้อารมณ์หอมนุ่มสบายๆ กลิ่นหอมหวานกำลังดี มีความรื่นรมย์เรียบนิ่ง และมีความเป็นคุณหนูในเนื้อกลิ่นแบบที่เน้นความหวานหอมดอกไม้ขาวเป็นตัวเด่นแบบที่ไม่ได้หนักข้น ซึ่งลักษณะกลิ่นแบบนี้ยังไงก็ผ่านและยังไงก็รอดได้อย่างสบายมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศได้หมด เพราะกลิ่นมาสายสดชื่นใสๆ ปนหวาน จึงเข้ากับวัยตั้งแต่ ม.ปลาย ขึ้นไปได้สบาย ได้อารมณ์คุณหนูเสียด้วย จึงเหมาะกับสถานการณ์ส่วนใหญ่ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ยิ่งกับอากาศเมืองไทยเรายิ่งเข้าทีขั้นสุด แต่อาจจะตัดการใส่เพื่อการออกกำลังกายจะดีกว่า เพราะเวลากลิ่นดอกไม้ตีขึ้นหนักๆ อาจจะเวียนเศียรเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเน่้นใส่แบบสบายๆ ผ่อนคลายหอมละมุนจะดีกว่าใส่ไปท่องราตรีเต้นสะบัดแน่นอน 

ความทน - ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ บวกลบซักราวๆ 2 ชม. ซึ่งก็อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย - กลิ่นกระจายกำลังดีในตอนต้น ก่อนที่จะลดลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวให้ความรู้สึกหอมสดชื่นปนหวานดอกไม้ขาวโปร่งๆ กึ่งนวลได้ดีเชียว แล้วจึงจะลงมาเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - อีกหนึ่งกลิ่นที่ผ่านเกณฑ์ความหอมแบบที่ยังไงก็รอดมาก มีความสดชื่นก็ได้ หวานใสปนละมุนก็สามารถ ได้โทนสะอาดๆ แบบกลิ่นสบู่ดอกไม้ติดผิวกายก็เข้าที แถมยังเป็นกลิ่นที่คนยี้ยากเพราะไม่ได้กระจายหนักหน่วง เช่นนั้นคงไม่ต้องออะไรมากถ้าจะบอกว่ากลิ่นนี้เอาเข้ามาอยู่ในโซน #ของดีเทคนิคไม่ต้องได้สบายๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Avon --> https://www.avon.com/product/haiku-reflection-eau-de-parfum-58493



วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Montblanc - Legend Night

Montblanc - Legend Night 

ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 2011 จนปัจจุบันกับน้ำหอมรุ่นยอดนิยมอย่าง Legend ของ Montblanc (แบรนด์เปลี่ยนจากเดิม Mont Blanc มาเป็น Montblanc มาระยะหนึ่งแล้ว) ซึ่งการส่งต่อความเป็น Legend ยังไม่จบสิ้นจนถึงล่าสุดในช่วงกลางปี 2017 ที่ได้ออกน้ำหอมรุ่นใหม่ในไลน์นี้ออกมาแถมอัพเกรดเป็น Eau de Parfum เสียด้วยอย่าง Legend Night ซึ่งได้เวลาของการแตะโทนยามค่ำคืนของหนุ่มๆ สไตล์ Montblanc กันแล้ว เช่นนั้นได้เวลาของการบอกเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นอายจะมาในลักษณะไหนบ้าง 

เป็นอีกหนึ่งรุ่นของสาย Legend เลยด็ว่าได้ที่ทำโทนกลิ่นออกมาได้อย่างมีสเต็ป ปูทางเป็นอย่างดีในการใช้งานกลิ่นที่ไม่ได้โผงผาง โฉ่งฉ่าง หรือเอาให้หนักไปข้าง แต่มีลำดับขั้นของโทนเหมือนช่วงเย็นที่ยังมีความสว่างอยู่นำไปสู่ช่วงกลางคืนที่เย้ายวน โดยที่ยังคงความเป็น Legend แบบต้นฉบับได้ดีจากกลิ่นอาย Aromatic ที่นวลๆ เด่นด้วยลาเวนเดอร์ได้ดีอยู่ ซึ่งความเป็น Legend Night จะเริ่มที่การเปิดตัวของ Top Notes ที่กลิ่นอายจะมาแบบสดชื่นกันก่อน ด้วยความเป็นโทนสาย Fresh Aromatic จากความหอมเขียวติดเผ็ดปร่าจางๆ โปร่งจมูกของมินต์และใบ Clary Sage (ซึ่งกลิ่นจะให้โทนคล้ายลาเวนเดอร์ผสมผสานกับหนังและมีกลิ่นอุ่นกำลังดี แต่ยังโปร่งออกทางสมุนไพรอยู่) ที่เป็นเหมือนโทนกลิ่นหลักในช่วงต้น และจะมีกลิ่นอาย Citrus ติดแห้งปนขมนิดๆ จากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีความสดชื่นเขียวกำลังดี ที่สำคัญจะจับได้ถึงกลิ่นอายติดผลไม้ปน Citrus ของแอปเปิ้ลเขียวด้วยที่เนียนไปกับกลิ่นให้ความรู้สึก Fruity ลั่นล้าเบาๆ ก่อน ซึ่งช่วงนี้จะมาในโทนสว่างแบบที่อาจจะเผลอคิดได้ว่ามันใช่น้ำหอมสาย Night หรือกลางคืนเหรอนั่น แต่สิ่งที่ปูทางเข้าสู่ความเป็น Night ตามชื่อรุ่นคือ เม็ดกระวาน ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาท่วมมาเต็มอะไรนัก ออกแนวเนียนๆ ในกลิ่นให้มีความเป็นโทนเย้ายวนเจือไปด้วยตลอด ไม่พอจะมารวมตัวกับกลิ่นโทนแอปเปิ้ลเขียวดึงเข้าสู่ช่วงถัดไปอย่าง Middle Notes นั่นเอง 

ซึ่งในช่วงกลางจะแบ่งออกมาเป็น 2 กลุ่มที่มาเจอกัน นั่นคือ 

1. ความเป็นแอปเปิ้ลเขียวแม้จะเด่นขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ไปสาย Fruity ลั่นล้ามากนัก ซึ่งเพราะความเป็นลาเวนเดอร์ที่ให้ความนุ่ม Aromatic ก็จะตีคู่ขึ้นมารับช่วงต่อจาก Clary Sage และกระวานที่มาผสมผสานวางสมดุลย์ได้เหมาะพอดี แอปเปิ้ลเขียวเลยเป็นตัวเสริมมิติโทนผลไม้ที่ให้ความสว่างติดขี้เล่นบางๆ แทน 
2. จะมีกลิ่นออกโทนแป้งหวานโปร่งของดอกไวโอเล็ตที่ให้ความนวลเพิ่มเข้าไปอีก เคล้ากับกลิ่นโทนเขียวโปร่งติดไม้หอมขรึมๆ และมีความอุ่นนวลที่เนียนๆ กับเนื้อกลิ่นได้อย่างลงตัวจากวานิลลา

ซึ่ง 2 โทนนี้จะมาเจอกันคนละครึ่งทางให้กลิ่นอายที่มีทั้งความสดชื่นติดลั่นล้าบางๆ ก็ได้อยู่ ขรึมสมาร์ทเท่ห์ก็ลงตัว เย้ายวนดึงดูดแบบไม่โจ่งแจ้งแบบบอกทั้งโลกก็เข้าที ถือว่าช่วงนี้คือหัวใจหลักของ Legend Night เลย ที่ผสมผสานโทนออกมาแบบกำลังดี ไม่หนักเกินไป ไม่เบาเกินไป ทำให้คนใช้ปรับตัวไปกับกลิ่นแบบที่ไม่รู้ตัวได้ง่ายและสบายมากด้วย จนกระทั่งกลิ่นของวานิลลาที่มาลักษณะแบบอุ่นขรึมกำลังดี จะเริ่มผันตัวมาเป็นตัวเด่นที่ชัดเจนมากขึ้น ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นวานิลลาแบบค่อนไปทางโทนอบอุ่น (ที่ไม่ได้มาสายขนม) จะเป็นพื้นฐานของกลิ่นทีี่ให้ความนวลกำลังดี ที่สำคัญจะมีกลิ่นอายออกทางไม้หอมแห้งๆ ที่มีความ Spicy ติดพริกไทยหน่อยๆ และพิมเสนที่มาแบบอ้อยอิ่งกำลังดีมาผสมผสานทำให้กลิ่นมีความดาร์กน่าค้นหา โดยที่กลิ่นอายในช่วงกลางก็ตามมาให้โทนเขียวโปร่งหวานจางๆ ติดแป้งในกลิ่นอยู่สร้างความดึงดูดทำให้เนื้อกลิ่นมีความเซ็กซี่แบบลงตัวกำลังดี และยังมีความเป็นผู้ชายขรึม Cool เท่ห์ๆ มีระดับ และซ่อนความน่าค้นหาแอบเร้าใจอยู่ชัดเจน ทั้งนี้ทั้งนั้นถือว่าเป็นการไล่เรียงสเต็ปจากสดชื่นสู่นัวน่าค้นหาได้น่าสนใจมาก และยังคงคุมโทนความเป็นกลิ่นอายสาย Legend ได้ลงตัวไปตลอด รวมถึงยังกวาดคนรักไลน์ Legend ให้เก็บตัวนี้มาครอบครองได้อย่างสบายๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายๆ ยิ่งถ้าใส่กับการแต่งตัวแบบติดเนี้ยบ หรือกึ่งเนี้ยบกึ่งสบายแบบมีรสนิยมจะเข้าทีอย่างมาก และแม้ว่ากลิ่นจะชื่อว่า Night แต่เอามาใส่ยามกลางวันได้ไม่ยากเสียด้วย เพราะกลิ่นมันยังมีความสดชื่นเจืออยู่ให้เรียนรู้ก่อนเจอความน่าค้นหาติดเย้ายวน ซึ่งเข้าได้กับการใส่ทำงาน ออกงาน หรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่แบบออกงานทางการจัดๆ ออกไปจะดีกว่า กลิ่นมันแม้จะมีเสน่ห์แต่เพราะมีความขี้เล่นอาจจะไม่เข้าทีนัก ไปใช้ Legend Spirit แทนน่าจะดีกว่า ส่วนออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งก็ข้ามไปได้เลย และในยามค่ำคืนจัดไป ไม่ว่าจะใส่ออกงาน ปาร์ตี้ หรือว่าท่องราตรีใส่ได้หมด เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้ปล่อยพลังรอบทิศมากนัก เน้นให้มาใกล้ๆ คลุกวงในอย่างมีระดับจะลงตัวกว่า 

ความทน - ลงตัวและดีงามกับ 8 ชม. สบายๆ แถมมากกว่านี้ได้ด้วย อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางกำลังดีไปตลอดจนถึงช่วงท้าย ซึ่งถือว่ามีความเสถียรในการปล่อยพลังแบบสมดุลย์ไม่หนักไปไม่เบาไป พอพ้นซัก 6 - 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิ 

ทิ้งท้าย - แม้ว่ารุ่นนี้ตอนใช้อาจจะมีวูบไปนึกถึง Armani Code Profumo อยู่บ้างเพราะกลิ่นมีโทนที่ใกล้ๆ กันพอสมควร แต่สิ่งที่ Montblanc ทำได้คือการไปสายนวลที่วางสมดุลย์กลิ่นได้ดี โดยที่ไม่ได้ไปทับไลน์ของ Armani ที่ไปสายครีมมี่อบอุ่นนัว ซึ่งถือว่าลงตัวและคง Concept น้ำหอมผู้ชายสไตล์ Montblanc Legend ได้ดีอยู่นั่นเอง 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Reastars.com
--> http://www.reastars.com/wp-content/uploads/2017/09/MontBlanc-Legend-Night--1024x554.jpg

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Jovan - Tropical Musk for Men

Jovan - Tropical Musk for Men 

บางครั้งก็นึกในใจมาเสมอว่าตั้งแต่ความเป็น Creed Aventus นั้นฟีเว่อร์ไปทั่วโลก ทำให้ Note กลิ่นสับปะรดที่เด่นๆ ในนั้น กลายเป็นกลิ่นอายที่หลายๆ แบรนด์ต้องเอามานำเสนอ ทั้งจะเหมือนแบบ Copy & Develop หรือว่า Reserch & Develop ก็ว่าไป จนเมื่อมาเห็นว่า Jovan เองก็มีกลิ่นอายที่เอาความเป็นสับปะรดมาแจมกับเขาด้วยกับน้ำหอมรุ่นใหม่ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 2017 ก็อยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าจะทำออกมาในลักษณะไหน และคง Concept เดิมคือ ของถูกแต่ดี คุ้มค่าเกินราคาที่จ่ายหรือไม่ เช่นนั้นได้เวลาเล่ากลิ่นนี้กันซักหน่อยแล้ว 

Tropical Musk for Men เปิดตัวมาแบบที่มีลายเซ็นของความเป็น Jovan กันอย่างชัดเจน กับกลิ่นอายที่รองพื้นด้วยความเป็นโทน Musky ผสมผสานกับความเป็นโทนติดสมุนไพรสายเผ็ดปร่าๆ กลิ่นโปร่งๆ ซึ่ง Musk เป็นกลิ่นที่อยู่ยาวไปตั่้งแต่ต้นยันจบเพียงแต่ว่าจะไม่ได้ถึงกับเด่นเด้งออกมามากนัก ออกแนวเป็นกลิ่นสายสนับสนุนดีเด่นแบบยาวไปให้ความเป็น Jovan ได้ดีในแต่ละช่วงโทนกลิ่นชัดเจนมาก โดยเริ่มที่ Top Notes กับการเอาสับปะรดเคล้าความเป็นสมุนไพรของกลิ่นโสมที่ได้อารมณ์แบบกลิ่นปร่าหอมออกทางยาสมุนไพรแห้งแบบแมนๆ ที่วูบเข้ามา แต่จะไม่ได้มาแบบใสๆ สดชื่นลั่นล้าเลย เพราะเนื้อกลิ่นมีความอุ่นชัดเจนมากมีความครีมมี่นวลๆ ของกลิ่น Tonka Bean ที่เปิดตัวแบบสายดันมาแบบรองพื้นตีคู่กับ Musk กลิ่นเลยจะมีความรู้สึกในบางวูบแบบที่มาในแนวๆ เวลาเราได้กลิ่นสเปรย์ดับกลิ่นกายผู้ชายในท้องตลาดที่กลิ่นออกทางนวลแน่นๆ แมนๆ หรืออาจจะรู้สึกถึงความแมนอุ่นนวล คล้ายๆ ความเป็นสาย Armani Code เจือความเป็นผลไม้แนวๆ Code ผสมกับ Code Profumo ก็ย่อมได้ ซึ่งจะอิงตามประสบการณ์ของคนใช้ด้วยส่วนหนึ่ง จนเมื่อเข้าสู่ Middle Notes กลิ่นจะเริ่มชัดเจนกับการเป็นกลิ่นอายหลักของแบรนด์นั่นคือ Musk จะเด่นออกมาแบบบอบอุ่นปนหวานครีมมี่ของ Tonka Bean ที่มีสมุนไพรปร่าเผ็ดแห้งปนความเป็นเผ็ดนุ่มแมนๆ ของโสมและเซจ เจือความเป็นผลไม้จางๆ ในเนื้อกลิ่นของสับปะรดให้จับต้องได้ เรียกว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวเป็นกลิ่นโทนอบอุ่นที่มีมิติของความนวล ความแมน ความหวาน และความเย้ายวนกำลังดี ซึ่งกลิ่นจะเดินทางเป็นโทนนี้ยาวไปจนเมื่อเริ่มจับต้องได้ถึงความเป็นไม้หอมนวลๆ ที่เสริมเข้ามาเรื่อยๆ โทนกลิ่นเริ่มอุ่นนวลมากขึ้น ก็เป็นการเข้าสู่ Base Notes กันอย่างชัดเจน โดยกลิ่นจะให้ความอุ่นครีมมี่เคล้ากลิ่นไม้หอมนวลๆ เจือหวานกำลังดี ซึ่งความเป็น Tonka Bean แบบที่เจือไม้หอมจะชัดเจน กลิ่นโทนผลไม้จะหายไป โดยที่กลิ่นก็มีความนุ่มอยู่ให้พอรู้สึกได้จากโทน Musky ที่ตามมาจากช่วงกลางคงความเป็นกลิ่นอายแนว Jovan อยู่ ภาพรวมในช่วงท้าย กลิ่นจะมีความแมนอบอุ่นแบบเข้าถึงได้ไม่ยาก และไม่อบอวลจัดๆ เกินไป ได้ความรู้สึกยังไงก็รอดทางด้านกลิ่นในโทนอบอุ่นแมนๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใส่ได้แล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้มาสายสดชื่นเป็นหลัก เพราะกลิ่นมาสายอบอุ่น ซึ่งถ้าใครชอบกลิ่นแนวแมนอุ่นๆ ไพล่ไปทาง Bad Boy นัวๆ อวลๆ น่าจะใช้ตัวนี้ได้สบายเลย และตัวนี้ไม่หนักหน่วงเสียด้วย โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือว่าทั่วๆ ไป อาจจะข้ามเรื่องการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งแบบหนักๆ หรือว่าออกกำลังกายจะดีกว่า เดี๋ยวอึดอัดเพราะกลิ่นอบอุ่นไปไม่ได้กับการออกกำลังกายที่ร่างกายต้องการออกซิเจนด้วย เดี๋ยวอึดอัดตาย ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าใส่ไปเถอะรอดด้านกลิ่นได้สบายมาก เพียงแต่อาจจะเน้นไม่ได้ไปเพื่อเย้ายวนใคร เน้นให้เรามีกลิ่นนัวๆ อวลๆ เบาๆ เอาตัวรอดได้ก็ถือว่าลงตัวได้ไม่น้อย 

ความทน - เป็น Eau de Cologne หรือ EDC ก็จริง แต่ความทนเทียบเท่า EDT เพราะทำได้ดีในเรื่องนี้มากจริงๆ กับราวๆ 8 ชม. ที่กลิ่นทำหน้าที่ได้ดีอย่างต่อเนื่อง อาจจะมีบวกลบบ้าง แต่ก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้มในด้านความทนอยู่ดี 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงแรก เรียกว่าอาจจะอึ้งกันหน่อย แต่พอเข้าช่วงกลางจะลดลงไปเป็นกระจายปานกลางซักระยะ และจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอผ่านไปซัก 6 ชม. Skin Scent ก็จะมาแทนที่แบบยาวไป

ทิ้งท้าย - ยังคงคุมโทนของถูกแต่ราคาไม่เกินเอื้อม แถมคุ้มค่าเกินราคาที่จ่ายได้ไม่มีผิดเพี้ยน ที่สำคัญกลิ่นแม้จะมีลูกผสมที่อาจจะไพล่ไปทางแนวๆ สเปรย์ดับกลิ่นอายโทนอุ่น หรือไปที่โทนใกล้เคียงสาย Armani Code อยู่บ้าง แต่ยังมีลายเซ็นที่ชัดเจนของแบรนด์เสมอ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - FragranceX 
--> https://img.fragrancex.com/images/products/parent/medium/75641m.jpg

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Krigler - Emeraude Noire 77

Krigler - Emeraude Noire 77

ได้เวลากลับมาสู่แบรนด์ Luxury หรูหราขั้นสุดและประวัติศาสตร์ยาวนานอย่าง Krigler อีกครั้ง ซึ่งจากที่ได้ผ่านน้ำหอมรุ่นต่างๆ ของแบรนด์นี้มาเรียกว่าเวลาก็ไม่สามารถทำอะไรน้ำหอมแบรนด์นี้ได้เลย เพราะลักษณะกลิ่นทุกตัวมีความเหนือกาลเวลาที่ยังสามารถใช้ได้เรื่อยๆ มาเสมอ โดยสามารถเปิดรับคนใหม่ๆ ที่เข้ามาสู่แบรนด์โดยที่ไม่ทิ้งคนเก่าและอยู่ร่วมกันไปได้เป็นอย่างดี เช่นนั้นก็ได้เวลาบอกเล่ากลิ่นอายเหนือกาลเวลากันอีกครั้งกับอีกหนึ่งรุ่นที่อยู่ยงคงกะพันมาถึงตอนนี้ นั่นคือ Emeraude Noire 77

ต้องบอกกันเลยว่าคนที่เป็นสายแอมเบอร์คาบเกี่ยวไปทางวานิลลา ถ้าได้ลองจะฟินกับตัวนี้ได้ไม่ยากเลย ที่สำคัญมีความเรียบหรูผู้ดีติดอวลกำลังดีได้ชัดมาก กลิ่นจะเปิดตัวที่ความเป็น Spicy ที่มาลักษณะ On Top ก่อนเลย แต่จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่รองพื้นด้านหลังชัดเจนเช่นกันกับโทนวานิลลาและแอมเบอร์ที่มาแบบกำลังดีไม่ได้จัดจ้านมากเกินไป ให้ความอบอวลแบบมีชั้นเชิงไม่หนักหน่วง ซึ่งความเป็นโทนเครื่องเทศในช่วงนี้จะมีความกลมกล่อมและนุ่มกำลังดีเสียด้วยเพราะกลิ่นอายของพริกไทยที่เผ็ดสะอาดกับกลิ่นของเมล็ดจันทน์เทศที่จะออกมากเผ็ดนุ่มเจือหวาน แอบจับได้ว่ามีโทน Citrus เจือบางๆ ให้กลิ่นมีมิติความสว่างได้น่าสนใจมาก ซึ่งกลิ่นจะโทนเครื่องเทศโปร่งๆ จะผ่านเกลามาเป็นอย่างดีไม่มีอะไรที่แหลมเกินไปและสอดรับลงตัวกับความเป็นโทนแอมเบอร์อบอุ่นที่เริ่มจะขยับจากฉากหลังมาเป็นตัวเอกหลักของน้ำหอมในช่วงกลาง โดยที่จะให้อารมณ์ของความเป็นแอมเบอร์ที่เป็นกลิ่นอายอบอุ่นมีความเป็นยางไม้ที่ให้อารมณ์สีเหลืองนวลปนส้ม กลิ่นจะไม่ได้เป็นแอมเบอร์สายเปรี้ยวอุ่น แต่ให้ความเป็นยางไม้และไม้หอมที่เจือวานิลลาแทน ซึ่งความเป็น Spicy นุ่มๆ ในตอนต้นจะยังคงตามมาอยู่ ผสมผสานกันจนเป็น 3 โทน คือ Spicy Vanille และ Amber ได้อย่างลงตัว กลิ่นเผ็ดนุ่มเคล้าอบอุ่นยางไม้เจือวานิลลา แต่จะมีกลิ่นอายพิมเสนบางๆ คลอไปตลอด ให้ความเรียบหรูแต่วอ้อยอิ่งท่ามกลางความอวลนุ่มอบอุ่นมีความนัวหวานกำลังดี และยังไม่หมดแค่นี้ทั้ง 3 โทนจะยังตามไปยังช่วงท้ายต่อ โดยกลิ่นอาย Spicy จะเริ่มเบาบางลง และกลิ่นวานิลลาจะเริ่มปรับโทนมาเป็นโทนแป้งที่เจือความอบอุ่นจากกลิ่นอายของแอมเบอร์ ซึ่งกลิ่นจะเริ่มแตะคำว่า Noire มากขึ้นแต่ไม่ได้ดาร์กดำดิ่งให้ความรู้สึกน่าค้นหาแทนจากโทนยางไม้ที่มีลักษณะคล้ายหนังกลั้วความอบอุ่น โดยมาสอดรับพอดีกับโทนหลักที่มีทั้งหมด กลิ่นเลยจะได้อารมณ์แบบกลิ่นอายอบอุ่นผิวกายที่ทาแป้งที่มีกลิ่นวานิลลาเบาๆ นุ่มๆ ไลท์เวอร์ชั่นเคล้าความเป็นเครื่องเทศที่บางๆ เจือตลอด ทำให้ช่วงนี้กลิ่นจะมีความแมนมากกว่า Unisex ที่รับรู้ได้ไม่ยาก 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ตราเอาไว้ว่า Unisex แต่เอาเข้าจริงๆ ตัวมีไปสายผู้ชายซักประมาณ 65-70% ได้ เพราะช่วงท้ายของกลิ่นจะแมนพอสมควร ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม แม้ว่ากลิ่นจะนุ่ม แต่ถ้าอากาศร้อนจัดๆ และอบอ้าวมาก เดี๋ยวแอมเบอร์กับวานิลลาจะตีขึ้นจนจุกเสียก่อนเอาได้ ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งกับออกกำลังกายไปได้เลย มันไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ใส่ออกงานเพื่อเพิ่มความหรูอบอุ่นน่าค้นหา หรือใส่ท่องราตรีแบบมีมาดเนี้ยบหรูก็สามารถหมด

ความทน - ดีงามมมมม 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ ส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. เช้าจรดดึกแบบอากาศทั้งร้อนทั้งเย็นในห้องแอร์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายแบบปานกลาง ตามด้วยเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป เมื่อผ่านไปซัก 8 - 10 ชม. กลิ่นถึงจะเริ่มเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - กลิ่นจะได้ความรู้สึกเหมือนบุคคลหนึ่งที่มีออร่าอบอวลแบบกำลังดี ไม่ดูโฉ่งฉ่าง ให้อารมณ์น่าค้นหาในความอบอุ่นเคล้าความเรียบหรู มีคลาส สมาร์ท และวางตัวดี แต่งตัวด้วยชุดโทนเข้มออกทางน้ำเงินหรือดำที่ให้อารมณ์อบอุ่นก็ได้ ภูมิฐานก็ดี และมีความเย้ายวนก็สามารถ รวมถึงมีออร่าให้รู้ว่าคนนี้มีระดับมากประมาณนั้นเลย

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Fragrantica
-->https://fimgs.net/images/secundar/o.44754.jpg