วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: James Heeley - Note de Yuzu

James Heeley - Note de Yuzu 

James Heeley เป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche Perfume จากเมืองผู้ดี ประเทศอังกฤษ ที่เปิดตัวในปี 2006 และสร้างสรรค์กลิ่นที่น่าสนใจสาย Minimalist ด้วยการรวมเอาความเป็นกลิ่นอายแบบฝรั่งเศสผนวกเข้ากับความเป็นโทนกลิ่นสไตล์อังกฤษ
 และได้รับความนิยมมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ และ

Maison Kitsune ก็เป็นหนึ่งแบรนด์ญี่ปุ่นที่มี 3 ไลน์ธุรกิจมารวมเข้าด้วยกันโดยยืนพื้นที่การนำเสนอศิลปะเฉพาะตัว คือ แฟชั่น ค่ายเพลง และ Cafe ซึ่งได้รับความนิยมมากจากการเอาความเป็นญี่ปุ่นมาเจอกับฝรั่งเศสและได้ขยายฐานแฟนๆ ของแบรนด์นี้ไปทั่วโลกในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อ 2 แบรนด์นี้ มาร่วมมือกันในการสร้างสรรค์น้ำหอมกับการนำเสนอความ Mix & Match กลิ่นอายผสมผสานสไตล์อังกฤษ ฝรั่งเศสและญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเป็นยังไง ก็มาว่ากันเลยกับรุ่นนี้ Note de Yuzu 

ต้องชื่นชมกันเลยทีเดียวว่า Top Notes สามารถสื่อสารกลิ่นอายของส้ม Yuzu ออกมาได้ดีมาก เพราะเนื้อกลิ่นของ Yuzu จะมีความเป็นลูกผสมสาย Citrus อยู่พอสมควร เลยจะได้กลิ่นอายที่มีความหลากหลายแต่ก็เป็นเนื้อเดียวกันอย่างงดงามในความสดชื่นไม่น้อย โดยจะมีกลิ่นโทนเปรี้ยวสดชื่นวูบแบบ Airy กลิ่นอะโรม่าเปรี้ยวสดชื่นในอากาศของมะนาว กลิ่นโทนส้มที่ติดหอมเปรี้ยอมหวานและมีความแปร่งออกโทนสว่างคล้ายเกรปฟรุต รวมถึงกลิ่นเจือหวานปนขมอ่อนๆ ปลายกลิ่นแบบเลมอน ซึ่งทุกอย่างคือการผสมผสานที่ลงตัวมากในการให้โทนกลิ่น Yuzu ที่มีความเป็นธรรมชาติ โดยที่กลิ่นไม่ได้พุ่งหรือคมบาดแต่อย่างใด ที่สำคัญพื้นหลังของกลิ่นมีความเป็นโทนสมุนไพรปร่าสดชื่นเจือเขียวของมินท์อ่อนๆ เนียนๆ อยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าโทนกลิ่นในช่วงนี้จะมีความเป็นโทนสไตล์ญี่ปุ่นของ Yuzu ชัดเจนมาก แต่ก็ซ่อนความเป็นโทนสมุนไพรสดชื่นแบบฝรั่งเศสเนียนๆ เป็นฉากหลังในกลิ่นได้ดี ซึ่งทั้งหมดในช่วงนี้จะให้ความพึงใจและความสดชื่นรื่นรมย์เป็นสำคัญ 

ผ่านไปชั่วขณะกลิ่นโทนทะเล Sea Breeze เคล้าไอเกลืออ่อนๆ แบบที่ไม่มีกลิ่นคาวเค็มแต่อย่างใด จะค่อยๆ เนียนเข้ามาผสมผสานและเปลี่ยนถ่ายเข้าช่วงกลางของน้ำหอมที่จะเป็นการตีคู่และแบ่งเค้กกันอย่างลงตัวระหว่างกลิ่นโทน Citrus และไอทะเล ที่จะได้ความสดชื่นที่มีมิติไล่เรียงจากเปรี้ยวหอมเจือหวานปลายเคล้ากับกลิ่นไอเค็มทะเลติดเกลือสร้างความผ่อนคลายและรื่นรมย์ มีความเรียบง่ายและไม่หวือหวา แต่เอาอยู่ในเรื่องความเป็นธรรมชาติและเรียบหรูที่ลงตัว จนเมื่อเริ่มมีโทนกลิ่นไม้แห้งหอมระเรื่อค่อยๆ เนียนเข้ามา การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงท้ายก็ค่อยๆ เริ่มขึ้นและชัดเจนเมื่อโทน White Musk จะเริ่มเข้ามามีอิทธิพลและเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมสว่างๆ นิ่งๆ ล้อไปกับกลิ่น Yuzu ที่ค่อนไปทางกลิ่นเปลือกส้มเจือกลิ่นเกลือที่ยังคงเหลือบางๆ ทำให้กลิ่นมีลักษณะแบบผิวกายติดเค็มไอทะเลอ่อนๆ เคล้าความเรื่อยๆ มาเรียงๆ เรียบง่ายของกลิ่นไม้เคล้าความสดชื่นเนียนๆ ในกลิ่นที่จะได้อารมณ์น้ำหอมที่ไม่โฉ่งฉ่างมีความมินิมัล น้อยๆ แต่เอาอยู่ได้สไตล์ผแบบอังกฤษที่เรียบง่ายคลอผิวให้ความสบายๆ ผ่อนคลายและสร้างบรรยากาศแบบพักผ่อนริมทะเลผ่านกลิ่นไปเรื่อยๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นมีความกลางๆ มากในการใช้งานไม่ว่าจะเพศใดก็ตาม แถมกลิ่นเข้าถึงได้ง่าย ให้ความสบายกึ่งเรียบหรูในโทนสว่างได้ดีอีกด้วย จึงเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่าได้หมดถ้าสดชื่น ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบทั่วๆ ไปสร้างความสดชื่นในวันอากาศร้อนๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้เป็นสายเรียกร้องความสนใจหรือเย้ายวนจัดเต็มอะไร การใส่ไปท่องราตรีตามผับบาร์อาจจะโดนชาวบ้านกลบมิดเอาได้ 

ความทน - กลิ่นมาสาย Citrus Aromatic ที่กลิ่นเป็นธรรมชาติ โดยทั่วไปมักจะแปรผันกับความทน แต่ Note de Yuzu ไม่ได้เป็นเช่นนั้น กลิ่นสามารถอยู่ยาวไปถึง 8 ชม. ได้ไม่ยากเลย อาจจะมีลดลงไปที่ 6 ชม. บ้าง ซึ่งถ้าผิวกาย จำนวนสเปรย์ และสภาพอากาศเอื้อมากพอ ความทนถือว่ายาวนานใช้ได้เลยและเกิน 8 ชม. ได้เสียด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นให้ความสดชื่นและผ่อนคลายในเวลาเดียวกันชัดเจน แล้วจะผ่อนลงไปเป็นกระจายกลางๆ ซักพักจึงค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นไปซัก 6 ชม. ก็เริ่มเป็น Skin Scent ยาวๆ ไป

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นอายส้ม Yuzu ที่มีความเป็นธรรมชาติมาก กลิ่นสร้างความสว่างสดใสและรื่นรมย์ได้ดีมากจริงๆ ที่สำคัญการเอากลิ่นอายทะเลมาเป็นตัวตีคู่กันไป ก็ทำให้ได้อารมณ์พักผ่อนชายทะเลแบบสบายๆ เรียบหรูได้อย่างลงตัวมากๆ ด้วยเช่นกัน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttp://www.basenotes.net/threads/443247-NEW-Heeley-Note-de-Yuzu!


วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Atelier Cologne - Rose Anonyme

Atelier Cologne - Rose Anonyme 

จากกลิ่นต่างๆ ของ Brand ที่สร้างน้ำหอมกลิ่นอายสาย Cologne แต่มีความเข้มข้นระดับ EDP อย่าง Atelier Cologne ก็เรียกว่าผ่านกันมาหลากหลายไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะสาย Citrus ที่แบรนด์นี้ถือว่าแสดงฝีมือได้ดีงามมาเสมอ แต่มีอยู่โทนกลิ่นหนึ่งที่เรียกว่าเป็นกลิ่นอายสายยอดนิยมฝั่งกลิ่นดอกไม้อย่างกุหลาบ ที่ยังไม่ได้เอามาเล่ากลิ่น
 ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในโทนกลิ่น Top Seller ของแบรนด์ เช่นนั้น ก็ต้องเอามาถ่ายทอดสิ จะพลาดได้อย่างไรกันกับรุ่นนี้ Rose Anonyme

บอกก่อน - Rose Anonyme จะมีอยู่ 2 รุ่น คือ รุ่นปกติที่เป็น Cologne Absolue (ความเข้มข้นแบบ Eau de Parfum) กับรุ่น Extrait (ความเข้มข้นแบบ Pure Parfum) ซึ่งในครั้งนี้จะมาเล่าในส่วนของรุ่น Cologne Absolue ก่อน แล้วตัว Extrait ไว้ว่ากันอีกที 

เปิดต้นกลิ่นเรียกว่ามาชัดเจนกันเลยกับการเป็นกลิ่นโทนกุหลาบติดแยมหวานหน่อยๆ มีกลิ่นติดขมปร่าของมะกรูดฝรั่งอ่อนๆ เคล้ากลิ่นติดหวานเผ็ดปร่าของขิงคลออยู่เลยทำให้มีความสดชื่นแทรกอยู่ในความเป็นกุหลาบเข้ามาก่อนในวูบแรก แต่ชั่วขณะถัดมาจะจับได้ถึงโทนเครื่องเทศคล้ายโทนหญ้าฝรั่นหน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นไม้แห้งติดเก่าๆ แบบใบลานซึ่งน่าจะมาจากปาปิรัส ที่ให้ความเป็นไม้แห้งเจือความหวานปนขมเย้าลึกและมีกลิ่นโทนของ Oud ที่มาแบบใสๆ ไม่ได้มาแบบอวลๆ ซึ่งถ้าอิงกับ Note ของแบรนด์ที่ระบุไว้ว่าเป็น Velvet Oud Accord ก็ถือว่าเป็น Oud ที่มาจากการผสมผสานโทนกลิ่นทางๆ และปรับแต่งออกมาให้มีโทนโปร่งมากกว่าที่คิด เลยทำให้ช่วงต้นกลิ่นจะเป็นกุหลาบติดสดชื่นปนแยมเคล้ากลิ่นกึ่งอวลกึ่งโปร่งของไม้แห้งที่มีความเป็นเครื่องเทศประปรายกำลังดี ทำให้บางวูบแอบนึกถึง Tom Ford - Noir de Noir อยู่บ้าง เพียงแต่กลิ่นมีความใสมากกว่า ซึ่งยังคงแตะความเป็นลักษณะของแบรนด์ที่คุมโทนสไตล์ Cologne ได้อยู่เป็นอย่างดี 

เมื่อการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นเริ่มที่จะมีความเป็นไม้หอมตีคู่กับกุหลาบ โดยที่กลิ่นขิงและมะกรูดฝรั่งเริ่มจางไป ก็จะเป็นช่วงที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์กันได้เลยทีเดียวเพราะกุหลาบกับ Oud ที่มาแบบโปร่งๆ จะคลอตีคู่กันไป โดยมีกลิ่นออกทางไม้หอมแห้งๆ ติดเก่าของปาปิรัสเสริมโทน Oud ให้มีความลุ่มลึกโดยไม่ได้อวลแน่นมากแต่อย่างใด และยังมีกลิ่นโทนกึ่งโทนธูปยางไม้ที่ทำให้พื้นกลิ่นมีความ Smoky อ่อนๆ น่าค้นหา กับกลิ่นพิมเสนอ่อนๆ ที่ให้ความระเรื่อๆ ดึงดูดเข้ามาร่วมด้วย ทุกกลิ่นต่างสนับสนุนกันเป็นอย่างดีในการสร้างกุหลาบที่เจือไม้อวลๆ แต่มีความโปร่งแต่ลุ่มลึกอย่างมีชั้นเชิง ให้ลักษณะสีแดงกุหลาบเข้มปนม่วงลุ่มลึกที่ลงตัวและมีเสน่ห์มาก ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปยาวนานพอสมควรก็ได้เวลาของการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นโทนไม้หอมจะลดทอนตัวเองลงไปเป็นพื้นกลิ่นเบาๆ แบบผู้สนับสนุนรองที่ให้ความลึกของกลิ่น โดยที่กุหลาบยังคงที่อยู่ แต่จะมีพิมเสนที่มาเป็นลูกคู่แทนและมีโทน Musk สะอาดๆ นวลๆ เคล้ากลิ่นกึ่งแป้งวานิลลาอบอุ่นแบบ Lite Version เป็นตัวมาสนับสนุนหลัก กลิ่นจะได้โทนกุหลาบติดหวานสะอาดนวลมีเสน่ห์จากกลิ่นติด Earthy เคล้าความปร่าจมูกอ่อนๆ ของพิมเสนที่เนียนลงไปในเนื้อกลิ่นโทนแป้งนวลอบอุ่นกึ่ง Musk ที่มีเสน่ห์และรื่นรมย์กำลังดี แอบซ้อนด้วยความลึกของกลิ่นที่น่าค้นหาจากโซนไม้หอมและยางไม้ที่ตามมาจากช่วงกลาง ทำให้ช่วงนี้จะได้อารมณ์แบบสะอาดเจือกุหลาบหวานลึกปนปร่านวลที่ให้โทนสีแดงปนม่วงที่เฉดสีอ่อนและสว่างมากขึ้นมาจากช่วงกลางนิดนึง สร้างอารมณ์ที่หรูหรากำลังดี น่าค้นหากำลังเหมาะ และเย้ายวนแบบนิ่งๆ แต่สร้างความประทับใจในการได้กลิ่นของผู้อื่นได้ไม่ยาก 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นกุหลาบไม่ได้ใสไป หรือสาวไป หรือเข้มจัดไป มีความกลางๆ ที่ใช้ได้ทุกเพศตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไป กลิ่นสามารถใช้ได้ทั้งแบบทางการและทั่วๆ ไปแบบที่ไม่ได้เน้นกิจกรรมลุยๆ พูดง่ายๆ กลิ่นหรูหรา มีระดับ เย้าแบบนิ่งๆ ที่มีเสน่ห์ เลยจะไม่ได้เข้าทางการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้ง Adventure หรือออกกำลังกายแต่อย่างใด ส่วนยามค่ำคืน ออกเลยจัดไป ไม่ว่าจะใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรี กลิ่นนี้มีเสน่ห์แบบนิ่งๆ แต่ดึงดูดไม่น้อยเลยทีเดียว 

ความทน - ลงตัวมากกับพื้นฐานที่ 8 ชม. และสามารถไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 12 ชม. บ่อยครั้งที่ใช้กับ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นและคงตัวไปจนถึงช่วงกลางซักพักใหญ่เลยทีเดียว ก่อนที่จะค่อยๆ เฟดตัวลงมาที่ปานกลาง แล้วก็ปิดท้ายด้วยการเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายไปเรื่อยๆ 

สรุป - เป็นกลิ่นกุหลาบอีกหนึ่งกลิ่นที่ทุกอย่างคุมโทนอย่างสมดุลย์เลยทีเดียวในการสร้างความลึกลับน่าค้นหาแบบติดโปร่งๆ ซึ่งต้องยกให้ว่าการใช้ Oud Accord ที่ปรับกลิ่นให้มีความลุ่มลึกในความโปร่งของกลิ่นนั้น สนับสนุนความเป็นกุหลาบได้งามเลยทีเดียว ไม่แปลกใจว่าทำไมกลิ่นนี้ถึงเป้นอีกหนึ่ง Top Seller ของแบรนด์ และมีการต่อยอดในการสร้างตัว Extrait ตามมา 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.scrooge.co.uk/s/709057/Atelier-Cologne-Rose-Anonyme-Cologne-Absolue-200ml.html


Review: 100 Bon - Cedre & Iris Soyeux

100 Bon - Cedre & Iris Soyeux

ที่ผ่านการเล่ากลิ่นไปก็นานมาก ห่างมาก็ยาวนานเลยทีเดียว เช่นนั้นเลยขอหวนมาเจอตัวที่สองของแบรนด์ 100 Bon จากเมืองน้ำหอมฝรั่งเศสกันซะหน่อย เพราะสนใจเนื้อกลิ่นและ Concept ที่นำเสนอเน้นที่กลิ่นอายธรรมชาติ ซึ่งจากรุ่นที่เคยเล่ากลิ่นกับโทนคู่หูสาย Citrus กับความเขียว ก็มาถึงต้องเอาคู่หูอีกคู่อย่างโทนกลิ่นไม้หอมที่จะมาเจอกับโทนดอกไม้เจือแป้งแล้ว
 ซึ่งแบรนด์จะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไร ก็ว่ากันได้ตามนี้เลย 

Cedre & Iris Soyeux จะเปิดตัวกันด้วยความเป็นไม้หอมติดโปร่งสว่างที่ฟุ้งออกมาก่อนเลย ซึ่งอารมณ์กลิ่นจะค่อนข้างชัดเจนมากถึงการเป็นโทนไม้หอมติดขรึมแต่โปร่งและมีความปร่าหน่อยๆ ตามลักษณะของการเป็นกลิ่นอายสายไม้ซีดาร์ ซึ่งกลิ่นก็ไม่ได้มาแบบไม้ทื่อๆ โดดๆ เพราะจะมีโทนติดสดชื่นประปรายของโทนส้มที่ออกทางติดเปรี้ยวเจือขมแนวๆ เปลือกส้ม ที่มีกลิ่นออกทางติดเปรี้ยวเขียวเจือดอกไม้ขาวอ่อนๆ เบาๆ เนียนๆ อยู่ เลยทำให้ช่วงเปิดเป็นกลิ่นอายไม้หอมกึ่งสดชื่นที่ติดนิ่งๆ เรียบง่าย กำลังดีเลยทีเดียว 

เพียงชั่วครู่กลิ่นอายโทนดอกดอกไม้กึ่งแป้งที่ติดอับบางๆ ของโทนดอกไอริสจะเปิดตัวออกมาลดบทบาทของโทนส้ม Citrus ในตอนต้นลงไป และเข้าสู่ช่วงกลางโดยแทรกขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นอายไม้ซีดาร์ และมีโทนแป้งติดจืดๆ ที่ตามมาติดๆ จนผสมผสานกันเป็นกลิ่นแป้งไม้หอมที่จะมีเลเยอร์กลิ่นไล่สเต็ปจากไม่หอมปร่าติดโปร่งๆ ตามด้วยแป้งผสมผงไม้หอมที่ให้ความกึ่งนวลกึ่งหอมปร่าไม้หน่อยๆ แต่มีความบางเบาติดจืดหอมอับแนวๆดอกไอริสให้จับต้องได้ซึ่งเนื้อว่าเป็นการเล่นโทนกลิ่นระหว่างความเป็นแป้งดอกไม้ติดอับบางๆ กับไม้ซีดาร์ปร่าสะอาดโปร่งๆ มีความขรึมได้ลงตัวเลยทีเดียว และจะดำเนินไปยาวพอสมควรก็จะเริ่มได้กลิ่นโทนไม้แห้งๆ เคล้ากลิ่นยางไม้ออกทางธูปติดสว่างเจือพริกไทยหน่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็นโทนของยางไม้อย่าง Frankincense ที่ค่อยมาแบบเบาๆ ไม่หนักหน่วงมากนัก ค่อยๆ เสริมโทนไม้ซีดาร์ให้มีมิติสุขุมมากขึ้น พร้อมกับมีโทนออกทางอบอุ่นมีความหวานเบาๆ กึ่งวานิลลาคล้ายๆ ที่เข้ามาร่วมด้วย ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะให้โทนออกทางไม้แป้งหอมอบอุ่นเบาๆ ติดหวานอ่อนๆ คลอผิวที่เรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่เน้นพีค เน้นเรียบง่ายและมีระดับแบบนิ่งๆ จนสมควรแก่เวลาก็จางไปในในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นมีความกลางๆ ที่แตะได้ทั้งหญิงและชาย ซึ่งอาจจะไปชายมากกว่าหน่อยเพราะโทนไม้ซีดาร์ค่อนข้างเด่น แต่เพราะกลิ่นไม่ได้กระจายมากนัก ผู้หญิงเลยใช้ได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้เข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป ใส่ได้สบายมาก จะมีก็แต่ออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายจะดีกว่า เพราะโทนไม้หอมและแป้งไม่เข้าทางกับความสดชื่นมากนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ ทั่วไป เรื่อยๆ มาเรียงๆ หรือออกงานจะดีกว่า เพราะกลิ่นมาสายสุขุมเลยจะไม่เข้าทางกับการใส่เพื่อสร้างออร่าดึงดูดยามท่องราตรีแต่อย่างใด

ความทน - อยู่ระหว่าง 4 - 6 ชม. เป็นสำคัญ เพราะกลิ่นไม่ได้หนักมากด้วยส่วนหนึ่ง กลัวไม่ทนพกไปเติมระหว่างวันโลด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวเร็วหน่อย พอเข้าช่วงท้ายก็ Skin Scent เต็มๆ สามารถเป็นสาย Safe Scent ในโซนกลิ่นไม้หอมเจือแป้งได้เลย

สรุป - กลิ่นมาสายเรียบง่ายและมินิมัลกันอย่างเต็มๆ ซึ่งไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรมาก แต่ก็มีมิติกลิ่นที่น่าสนใจในการให้โทนหลักตามชื่อรุ่นที่มีทั้งกลิ่นไม้หอมจากไม้ซีดาร์ และกลิ่นโทนแป้งจากดอกไอริสที่คุมโทนได้ดี เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นหนักๆ แต่อยากได้ความแตกต่างในการเป็นสร้างออร่าโทนสุขุมติดเรียบหรูด้วยไม้หอมและแป้งเบาๆ ซึ่งแน่นอนไม่เหมือนใครด้วยนะเออ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.parfumdreams.ie/100BON/Unisex-fragrances/Cedre-Iris-Soyeux/Eau-de-Parfum-Spray/index_86077.aspx

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Miller Harris - Figue Amere

Miller Harris - Figue Amere 

ผ่านน้ำหอมกลิ่น Fig หรือลูกมะเดื่อฝรั่งมาก็ถือว่าหลากหลายแบรนด์พอสมควร ซึ่งต่างก็เอาดีไปตาม Concept กันไป เช่น กลิ่นต้น Fig ในสวน กลิ่น Fig สบายๆ กลิ่น Fig ที่ธรรมชาติมากขนมาหมดทั้งลูก ใบ ต้น และอื่นๆ เป็นต้น จนสบโอกาสได้มาเจอกับแบรนด์ Niche เมืองผู้ดีอย่าง Miller Harris ที่มีกลิ่น Fig กับเขาด้วยเช่นนั้น ต้องลองสิ เพราะอยากรู้ว่าแบรนด์นี้จะสื่อสารกลิ่นออกมาอย่างไรบ้าง 

เปิดต้นกลิ่นมาก็รับรู้ได้เลยว่า กลิ่นนี้ไม่ใช่ Fig แบบที่เคยได้กลิ่นแน่นอน เพราะแม้ว่าจะจับต้องได้ถึงความเป็น Fig ที่มีความขมติดทึบเฉพาะในแบบใบ Fig แต่กลิ่นกลับมีความเขียวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะมีกลิ่นโทนสมุนไพรปร่าพุ่งๆ ติดเผ็ดซ่าของโสมตังกุยที่เสริมเข้ามาพร้อมกับมีกลิ่นโทน Citrus ประปรายสร้างบรรยากาศที่มีความเปรี้ยวติดขมของมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) ซึ่งทำให้ช่วงต้น อารมณ์กลิ่นของ Fig เลยเป็นโทนขมปร่าซ่าติดเผ็ด Spicy ปนสดชื่นพุ่งๆ เสียมาก และแอบมีกลิ่นโทนไม้หอมที่เนียนๆ เป็นฉากหลังอยู่ด้วย เลยทำให้รู้สึกได้ไม่ยากว่ากลิ่นมีความแน่นรออยู่แน่ๆ 

เมื่อโทนกลิ่นเริ่มลดทอนความปร่าซ่าๆ สมุนไพรของโสมตังกุยลงมาหน่อยนึง จะมีกลิ่นติดเขียวเจือฉ่ำกึ่งแตงกวาเบาๆ มีโทนเมทัลลิคหน่อยๆ เสริมเข้ามา ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงกลางที่จับต้องได้ถึงกลิ่นใบไวโอเล็ต เจือกลิ่นเขียวๆ ดอกไม้ติดหวานตุ่ยอ่อนๆ ตามธรรมชาติทำให้เนื้อกลิ่นมีความเขียวบางๆ กำลังดี ซึ่งแน่นอนว่าใบ Fig ยังคงให้ความรู้สึกขมทึบอยู่แต่ออกแนวเป็นสายสนับสนุนเสียมาก เพราะแน่นอนว่าแม้ความปร่าจะลดลงไปบ้าง แต่ความเป็นสมุนไพรติดซ่ายังชัดอยู่ แต่เพราะเมื่อมีใบไวโอเล็ตที่ให้ความเขียวนวลเจือเมทัลลิคโลหะบางๆ กลิ่นเลยเรียกว่าเป็นหยินหยางกันในระดับนึง แอบไบโพล่าร์หน่อยๆ เพราะวูบนึงจะจับความนวลอะโรม่า อีกวูบจะจับขมปร่าอวลๆ หรือไม่ก็มาพร้อมๆ กันในหลายๆ ครั้ง แต่แปลกกลิ่นมีเสน่ห์เพราะการมาในลักษณะสลับปนผสมผสานมันดันมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ให้ความเป็นโทนขมติดปลายหวานเจือเขียวที่มีหลากหลายมิติ จนเมื่อโทนไม้หอมแนวๆ ไม้ซีดาร์ที่ให้ความปร่าปนกลิ่นไม้สว่างๆ เริ่มเป็นมากกว่าฉากหลังเพราะเริ่มจะเทคโอเวอร์ตามลำดับพร้อมกับเอาโทนอบอุ่นติดยางไม้แปร่งหน่อยๆ ติดโทนวานิลลาที่เป็นลักษณะกลิ่นของแอมเบอร์เข้ามาร่วมด้วย กลิ่นก็เริ่มเป็นถ่ายเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะกลายเป็นโทนไม้หอมเต็มตัวตามลำดับ โดยที่กลิ่นโสมตังกุยสายสมุนไพรจะเริ่มเบาลงไป เหลือกลิ่นโทนขมเจือเขียวบางๆ ทึบๆ ใบ Fig เบาๆ เคล้ากับกลิ่นเขียวนวลมากขึ้นของใบไวโอเล็ตที่จะอยู่ประปรายแบบสายสนับสนุนอ่อนๆ ให้กลิ่นไม้หอมอบอุ่นดึงดูดเป็นโทนหลักกันยาวๆ ไป โดยแอบมีกลิ่นติดโทนบางๆ ของ Oakmoss ที่ให้ความเป็นโทนกึ่งไม้หอมกึ่งพืชล้มลุกกลิ่นขมลึกขอOakmoss เป็นเลเยอร์เนียนๆ ให้กลิ่นมีระดับและมีเสน่ห์ติดโทน Earthy เข้ามาร่วมด้วยในการเป็นบาเรียรอบๆ ตัว แต่เมื่อดมใกล้ๆ ผิว จะแอบจับต้องได้ถึงกลิ่นโทน Musk ให้ความนวลสะอาดบางๆ ให้รู้สึกได้ เลยทำให้ช่วงนี้แม้ว่ากลิ่นจะเด่นที่สายไม้หอมก็จริง แต่ก็มีมิติหรูหราดึงดูดกำลังดีแทรกเนียนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก 

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ไปได้กับทั้งหญิงและชายเลย เพียงแต่โทนไม้หอมติดสมุนไพรขมอวลเด่น เลยจะค่อนมาทางผู้ชายมากกว่าหน่อย อย่างน้อยถ้าผ่านกลิ่นโทนสมุนไพรขมๆ กับไม้หอมมาก่อนจะเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่จะทางการก็สามารถ จะทั่วๆ ไปก็ได้เพราะกลิ่นให้อารมณ์มีภูมิก็ได้ มีเสน่ห์เฉพาะก็ดีไม่น้อยเลย ส่วนยามค่ำคืน กลิ่นมันมาสาย Unique อาจจะเลือกเอาแนวๆ ใส่ออกงานน่าจะลงตัว แต่ถ้าไม่มายด์ใส่ท่องราตรีดูก็ได้นะนั่น 

ความทน - มากกกกก เจอที่ 15 ชม. เป็นเรื่องปกติเลย ซึ่งถ้าตีค่าเแลี่ยตามสภาพผิวยังไงก็ 8 ชม. ขึ้นไปได้ไม่ยาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากตั้งแต่ต้นยันกลางเลย ต้องยกความดีความชอบให้โสมตังกุยที่มาเต็มแถมดึงใบ Fig มาด้วยแบบขมเด่นนำ แล้วถึงค่อยๆ ลดลงมาปานกลาง พอผ่านไปซัก 8 ชม. ถึงผ่อนลงมาเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป 

สรุป - Figue Amere ถือเป็นน้ำหอมที่แม้จะชื่อ Fig แต่มีความเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากน้ำหอมที่เด่นที่ Note กลิ่นนี้เลยก็ว่าได้ เพราะโทนไม้หอมปนปร่าสมุนไพรคมๆ เป็นตัวหลักที่สร้างให้กลิ่นนี้เป็น Woody Herbal Fig ที่กลิ่นขมมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครเลยล่ะ แต่เสียดายมากตัวนี้หายากจริงอะไรจริง แถมเป็น Limited Edition อีก จี๊ดใจจรงนี้แหละ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.thebeautyclub.com.au/fragrances/miller-harris/figue-amere/figue-amere-eau-de-parfum-spray-new-packaging/17854194206/1

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Katy Perry - Indi

Katy Perry - Indi

เอ่ยชื่อ Katy Perry ไม่มีใครที่อยู่ในแวดวงเพลงสากลจะไม่รู้จัก เพราะสำหรับแขศรี ถือเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงที่ทรงอิทธิพลไม่น้อยในวงการดนตรีช่วงปี 2008 เป็นต้นมา จนทุกวันนี้แม้นางจะแผ่วไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าลอยตัวอยู่บนวงการเพลงได้อยู่เรื่อยๆ และแน่นอนดังมากก็ต้องมีน้ำหอมเป็นของตัวเองมาตั้งแต่ปี 2010 จนถึงปัจจุบันกับ 10 กลิ่นในความเป็นแขศรี

ซึ่งก็ตรงไปตรงมากันเลยว่า น้ำหอมแขแต่ละรุ่นตั้งแต่แรกๆ จะมาตามขนบของ Celebrity เสียส่วนใหญ่ที่จะเป็นกลิ่นโทนขนม ดอกไม้ และผลไม้ เน้นหวานๆ มาก่อนเลยเสียส่วนใหญ่ จนเมื่อปี 2014 ถึงได้มีการแตกมาโทนอื่นๆ มากขึ้น แต่ก็ยังแอบหวานอยู่ตามขนบ จนมาปี 2017 ที่อัลบั้ม Witness ได้วางจำหน่าย ที่ในอัลบั้มเริ่มมีอะไรที่หลากหลายมากขึ้นในเนื้อหา น้ำหอมที่ออกมาของแขในปีนั้นจึงได้มีความแตกต่างจากน้ำหอมที่แขเคยมีมาพอสมควร ซึ่งอาการมันเป็นอย่างไร ไหนบอกมาซิ ก็ต้องเล่าเลยกับรุ่นนี้ Indi

ไม่มีความเป็นโทนขนม โทนหวานอะไรมาให้รู้สึกได้อีก เพราะความอินดี้ของน้ำหอมขวดนี้ คือ Back 2 Basic กันอย่างชัดเจน เปลี่ยนจากเยอะแยะมากมายสู่ความมินิมัล โดยเน้นที่กลิ่นอายสะอาดนวลกึ่งสดชื่นเป็นหลัก โดยชูโรงความเป็นโทน Musk เป็นหลักสำคัญที่จะอยู่ในทุกๆ ช่วงของน้ำหอม ซึ่งกลิ่นเปิดจะเริ่มจากโทนกลิ่นอายชาขาวเบาๆ มีความหอมอะโรม่าเจือหวานอ่อนๆ เคล้ากลิ่นติด Airy ขมเจือเปรี้ยวของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ทำให้กลิ่นมีความสดชื่นมากันก่อน แล้วจะเริ่มมีกลิ่นออกทางผลไม้ที่ให้กลิ่นเย้าๆ ติดหวานของลูกพลัมที่ตามมาร่วมด้วยช่วยกันในการสร้างโทนสดชื่นที่มีลูกผสมโทนอะโรม่าเจือผลไม้ติดบรรยากาศปร่าขมเปรี้ยวบางๆ แต่ในเนื้อกลิ่นที่เป็นฉากหลังมันเป็นโทน Musk เลยทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะเป็นลักษณะ Fresh Musky ที่ให้ความสะอาดกึ่งเย้าสดชื่นเบาๆ ที่เรียกว่าเรียบง่ายและมินิมัลสูงมาก

แน่นอนว่าความมินิมัลจะยังคงอยู่ไปจนถึงช่วงท้ายเลย โดยในช่วงกลางกลิ่นจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงต้นมากนัก เพียงแต่ จะเริ่มมีโทนไม้หอมโปร่งๆ ติดขรึมกึ่งปร่าสบายของไม้ซีดาร์เข้ามาเสริม เลยทำให้โทน Fresh Musky ในตอนต้นเริ่มจะมีมิติไม้โปร่งๆ เข้ามาลดทอนความสดชื่นลงไปจนเหลือกลิ่นลูกพลัมที่ยังคงอยู่เคล้ากลิ่นชาอ่อนๆ ที่มีอยู่เพียงประปราย ซึ่งจะให้กลิ่นไม้ติดจืดหอมเคล้า Musk นวลสะอาดเป็นผู้เล่นหลักกันยาวๆ จนเริ่มมีกลิ่นโทนครีมนวลนุ่มๆ ของถั่วตองก้าค่อยๆ แทรกเข้ามา ทำให้กลิ่นในช่วงต้นทั้งหมดจางไป ก็เปลี่ยนสถานะเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นโทน Musky นุ่มนวลสะอาดปน Woody ไม้หอม โดยจะเป็น 3 เกลอที่สร้างความเรียบง่ายอย่าง Musk (ที่เคลมเอาไว้ว่ามี 11 ประเภท เช่น Musk, White Musk, Black Musk, Egyptian Musk และ Island Musk เป็นต้น) ที่จะให้โทนสื่อไปทางเดียวกันคือ นุ่มสะอาดปนนวลอ่อนๆ แอบมีโทน White Musk ที่ติดแป้งนวลมากกว่าเพื่อนหน่อย ซึ่งมาสอดรับกับเกลอที่ 2 อย่างถั่วตองก้าที่ให้ความครีมมี่อวลๆ แกมอบอุ่นหน่อยๆ เคล้ากับเกลอที่ 3 คือ ไม้ติดนวลปนจืดหอมแกมโปร่งที่เป็นตัวเสริมสร้างมิติในโทนสว่าง ทำให้ภาพรวมปิดท้ายคลอผิวด้วยความสะอาด สว่าง และสบายกันยาวไปนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นมีความกลางมากมายที่สามารถใช้ได้หมดทุกเพศ ตั้งแต่เด็กประถม (ที่ฉีดเสื้อที่สวมก็พอ) จนถึงผู้ใหญ่ได้เลย กลิ่นใช้ง่าย เข้าถึงได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และยัไงก็รอดและกลิ่นสะอาดนวลเป็นที่ตั้งแน่นอน ซึ่งกวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งแบบทางการและทั่วๆ ไป จะกลางแจ้งหรือในร่มก็ได้หมด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่สบายๆ แทนจะดีกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรีบอกเลยไร้ตัวตนเอาได้ เพราะชาวบ้านกลบมิด

ความทน - กลิ่นทนอยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกาย ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ กับการใช้งานที่ 7 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นมาสาย Safe Scent กันอย่างชัดเจน เลยจะเริ่มที่กระจายปานกลาง ลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป้น Skin Scent ตามลำดับ

สรุป - อินดี้มากแม่ (ประชด) จริงๆ น่าจะมินิมัลเรียบง่ายแทนนะ แต่ถ้าไม่ได้ยึดติดกับชื่อรุ่น ต้องบอกเลยว่านี่เป็นน้ำหอมอีกกลิ่นในสายโทนนุ่มสะอาด Musky ที่มีดีในตัวสูงเลยทีเดียวกับการเป็นน้ำหอมที่เน้นผู้ใช้ดูสะอาดนวลนุ่มเรียบง่าย เรียบหรู และไม่รบกวนใคร และเข้าทางกับคนที่ไม่ชอบกลิ่นฉุนๆ หรือแรงๆ ได้ดีนักแล

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credit - https://www.meatoes.com/projects/packaging/katy-perry-indi


วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Mugler - A*Men Sunessence Edition Orage d’Ete

Mugler - A*Men Sunessence Edition Orage d’Ete 

น้ำหอมรุ่นดังๆ หลายๆ รุ่น หลายๆ แบรนด์ ที่เรียกว่าเป็น Top Best Seller ของแบรนด์หลายๆ แบรนด์ มักจะต้องมีการต่อยอดในการสร้างรุ่น Summer ออกมาเป็นลูกเป็นหลานในการต่อยอดในเรื่องของแบรนด์ดิ้งกันยาวๆ ซึ่งถ้ารุ่นปกตินั้นเป็นสายสดชื่นอยู่แล้ว ก็อาจจะสร้างความสดชื่นที่แตกต่างอย่างมี DNA ของเดิม หรือถ้ารุ่นปกติมีความหนักแน่นอวลเกินไป ก็ลดทอนด้วยการเสร
ิมความสดชื่นเข้าไปเพื่อให้ใช้ง่ายขึ้น และแน่นอน Thierry Mugler เองก็มีกับเขาด้วยเหมือนกันในการทำรุ่น Summer ออกมาให้ตัว Top ของแบรนด์อย่างๆ อย่าง Alien และ Angle ในสายน้ำหอมผู้หญิง รวมถึงมาเจาะที่น้ำหอมชายตัว Top อย่าง A*Men ในการสร้าง Collection - Sunessence ขึ้นมาแบบ Limited Edition 

เช่นนั้นของผู้หญิงขอข้ามไปก่อน (เพราะหายากเต็มทนแล้ว) มาที่ของผู้ชายที่เป็นหนึ่งเดียวในไลน์นี้ดีกว่าว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไรกันบ้างกับความเป็น Summer Scent ในรุ่นนี้เลย A*Men Sunessence Edition Orage d’Ete

เปิดต้นกลิ่นใช่เลย DNA ของความเป็น A*Men ที่เด่นกับโทนพิมเสนและกาแฟมาชัดเลย เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้พุ่งพรวดปล่อยพลังหนักมากเท่ากับรุ่นปกติ โดยจะมีกลิ่นโทนพิมเสนที่รื่นจมูกมากขึ้นไม่ได้ดิบห่ามบาดจมูกเกินไป แต่ยังมีความ Dirty Sexy แบบที่ควรจะเป็น เคล้ากับกลิ่นกาแฟที่ติดออกทางเขียวค่อนไปทางกาแฟดิบ และมีตัวสร้างความสดชื่นให้กลิ่นในสายเครื่องเทศอย่างเม็ดผักชีที่ให้ความปร่าซ่าฟุ้ง พริกไทยที่ให้ความนวลสะอาดล้อไปกับกลิ่นกระวานติดเขียวเจือหวานเผ็ดเย้าๆ เนียนๆ ในเนื้อกลิ่น แต่จะเสริมโทนสดชื่นเข้ามามากขึ้นจากโทนกลิ่นส้มที่สร้างโทนสว่างในเนื้อกลิ่นโดยจะเน้นที่กลิ่นออกทางส้มค่อนไปทางโทนแห้งปนกลิ่นเปลือกส้มที่เป็นลักษณะปลายกลิ่นเข้าไปด้วย เลยทำให้กลิ่นมีความเป็นโทน A*Men ที่มีความสดชื่นและสว่างมากขึ้น แบบที่ไม่เหมือนใครตรงที่เอาความเป็นโทนเครื่องเทศสาย Fresh Spicy เป็นตัวสร้างความเป็นโทนสดชื่นติดปร่าเป็นหลัก

เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะกลิ่นโทนส้มเริ่มหายไป แล้วกลิ่นโทนเครื่องเทศเริ่มที่จะลดทอนลงไปเป็นตัวสนับสนุนแทน กลิ่นโทนกาแฟติดเขียวๆ จะกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นแทน และมีกลิ่นไม้หอมติดปร่าๆ หน่อยๆ แนวๆ ไม้ซีดาร์เคล้ากลิ่นไม้แห้งๆ แนวๆ แบบหญ้าแฝกเสริมทัพเข้ามาแทน ทำให้ช่วงนี้จะชัดเจนพอสมควรกับการเป้นโทน Woody Spicy ที่ให้ความเป็นกาแฟเคล้ากลิ่นไม้หอมแห้งๆ สว่างๆ มีความเป็นเครื่องเทศนวลรองพื้น และมีพิมเสนประปรายในเนื้อกลิ่น และสิ่งที่จับต้องได้คือกลิ่นมีโทนอบอุ่นเสริมเข้ามาด้วยแบบเนียนๆ แต่ไม่ได้อุ่นอวลหนักเท่าไหร่ ออกแนวกลิ่นแบบบรรยากาศอบอุ่นเสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปเรื่อยๆ และมีการเปลี่ยนแปลงแบบเนียนๆ ค่อยไปค่อยไปในการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม ซึ่งโทนกาแฟจะเบาลง เปิดทางให้กลิ่นไม้หอมจะชัดขึ้นมาอีกระดับ จับต้องได้ชัดมากขึ้นว่ามีกลิ่นไม้จันทน์หอมผสมผสานรวมอยู่ด้วย พร้อมกับพิมเสนที่จะกลายเป็นตัวเด่นสุดในการเดินกลิ่นช่วงท้ายแบบตีคู่กันไป ซึ่งกลิ่นจะมีโทนอวลๆ ติดหวานบางๆ ปนครีมมี่เบาๆ ปนอบอุ่นที่เป็นตัวรองพื้นที่ทำให้อารมณ์กลิ่นจะเหมือนช่วงแดดออกและมีอากาศอบอุ่นอวลๆ รอบตัวพอสมควร เลยผสมผสานกันในลักษณะกลิ่นอายแบบ A*Men ดั้งเดิมที่เด่นด้วยพิมเสนเจือกาแฟเบาๆ เคล้าไม้หอมที่มีบรรยากาศอบอุ่นแดดจ้า ซึ่งตอบโจทย์กลิ่นกันอย่างชัดเจนว่าอารมณ์มัน Summer กันอย่างเต็มๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงเท่าต้นตระกูลเลยเป็นตัวหนึ่งในสายของว A*Men ที่ใช้ง่ายมากขึ้น โดยไม่ทิ้งลายเซ็นเดิม เพิ่มเติมคือให้ความเป็นโทนแดดจ้าๆ Summer Scent เลยใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป ส่วนยามทางการอาจจะต้องเลือกสถานการณ์หน่อย เพราะถ้าทางการจัดๆ อาจจะไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ถ้าใส่ทำงาน Office อะไรแบบนี้ถือว่าใส่ได้สบายมาก รวมถึงการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งอันนี้ก็เข้าทาง แต่ออกกำลังกายในที่ปิด แนะนำให้ข้ามจะดีดกว่า เพราะโทนกลิ่นแบบนี้กระจายดีเข้าให้อาจจะจุกคอหอยกันได้ ส่วนยามค่ำคืนกับอากาศบ้านเรา ถืิอว่าลงตัว ใช้ได้สบายมาก ได้ทั้งความสดชื่น อบอุ่น เย้ายวนแบบไม่หนักหน่วงดูสบายๆ ไม่จงใจได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อิงตามจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวใช้ไป 6 สเปรย์ ลากไปที่ 12 ชม. ก็ยังได้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเป็น Sillage Scent ตามต้นตระกูลกันอย่างชัดเจน เพียงแต่กลิ่นจะไม่แน่นไม่หนักเท่า แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมากระจายปานกลาง ก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปยาวๆ พอพ้นซัก 8 ชม. ถึงค่อยๆ เป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - กลิ่นนี้ คือ การเอา Ice*Men มาตัดโทน Cooling ออกไป ใส่โทนอบอุ่นแบบแดดจ้าลงมาแทน และเอาความเป็น Woody Spicy เด่นๆ ของ B*Men มาใส่เพิ่ม โดยลดทอนความหนักของ A*Men ปกติลงมา จนได้เป็น Summer Scent ที่ลงตัวมากๆ เลยทีเดียว เพียงแต่กลิ่นนี้เลิกผลิตไปนานมากแล้ว มันเจ็บตรงนี้แหละ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.fragrantica.com/perfume/Mugler/A-Men-Sunessence-Edition-Orage-d-Ete-8192.html

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Jo Malone - Orange Bitters

Jo Malone - Orange Bitters 

Orange Bitters เป็นหนึ่งใน Limited Collection ที่มีเยอะแยะมากมายของ Jo Malone ที่ออกมาสู่ตลาดเมื่อปี 2016 ในช่วง Christmas ซึ่งแบรนด์ในโปรยไว้ว่าเป็นกลิ่นแนว Warming Winter Cocktail ที่เข้ากับบรรยากาศเย็นๆ ในฤดูหนาวอะไรประมาณนี้ และรุ่นนี้ก็ไม่ได้จบที่การเป็น Limited Edition เพียงแค่ปีเดียวแล้วหายไป ยังกลับมาอีกครั้ง ในปี 2019 ช่วง Christmas อีกแล้ว เช่นนั้น กล
ิ่นส้มตัวนี้มีดีอะไร ก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันซะหน่อยแล้ว 

ถ้าคาดหวังกลิ่นส้มสดชื่นสดใสน้ำส้มไหลมาเทมา บอกเลยว่า ไม่ได้เจอในกลิ่นนี้แน่นอนเพราะเนื้อกลิ่นจะเป็นไปตามคำโปรยเลย คือ กลิ่นออกทาง Cocktail เสียมากกว่า แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความสดชื่นที่ควรจะต้องเป็นอยู่ตามสไตล์ของส้มที่จะมีให้จับต้องได้ในช่วงต้นถึงกลางของน้ำหอม ซึ่งช่วงเปิดจะเป็นโทนกลิ่นส้มที่มีความหอมหวานอมเปรี้ยวเจือขมหน่อยๆ แต่ไม่ได้มีความฉ่ำอะไรนัก เพราะเนื้อกลิ่นค่อนไปทางแห้งแต่ยังคงความเป็นส้มที่สัมผัสได้และสร้างความรื่นรมย์กันอย่างชัดเจน กลิ่นที่จับต้องได้ในช่วงนี้จะเต็มๆ เลยที่กลิ่นของส้มค่อนไปทางเปลือกส้มที่จะมีความเปรี้ยวหอมอมหวานเจือขมแห้ง ตามด้วยกลิ่นหวานหอมเจือกลิ่นน้ำผึ้งอ่อนๆ ของส้มจีนแมนดาริน พร้อมกับกลิ่นออกทาง Citrus ติดซ่าอ่อนๆ ซึ่งทำให้ช่วงเปิดมีลักษณะคล้ายกลิ่นโทนเครื่องดื่ม Cocktail ที่มีส้มเป็นกลิ่นเด่นขึ้นมาก่อนเลย และให้อารมณ์กลิ่นที่เป้นโทนสีส้มที่ติดไปทางใสสว่างโปร่งแห้งกันอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น 

เมื่อกลิ่นโทนค็อกเทลส้มหอมติดขมในช่วงต้นเริ่มจะเบาตัวลงแต่ยังคงความเป็นโทนส้มใสๆ ติดขมหอมหน่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะของโทนกลิ่นส้มขมที่มักจะให้โทนใสๆ แบบนี้ ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอม ที่ส้มจะเป็นเลเยอร์บนสุดที่ได้กลิ่น แต่โทนที่สนับสนุกจะเป็นกลิ่นออกทางผลไม้แห้งๆ จิดนัวหวานหน่อยๆ คล้ายกลิ่นลูกพรุนเคล้ากับกลิ่นไม้หอมติดครีมมี่ปนแห้งอุ่นของไม้จันทน์หอมที่ทำให้กลิ่นเริ่มมีความอุ่นนวลเข้ามาแบ่งเค้กกับโทนส้มใสๆ แห้งๆ เนื้อกลิ่นจะคุมโทนแห้งๆ เริ่มจากกลิ่นส้ม ไปพรุน และตามด้วยไม้หอม ที่สอดรับช่วงต่อกันเป็นอย่างดี โดยโทนสีของกลิ่นยังคงคุมโทนการเป็นสีส้มอยู่ เพียงแต่จะมีความเป็นสีส้มที่ไม่ได้ใสแล้ว เพราะมีโทนนวลๆ เข้ามาร่วมด้วย จนเมื่อกลิ่นพรุนเริ่มจางไป และกลิ่นส้มเริ่มบางลงตามลำดับ ก็ได้เวลาที่ไม้จันทน์หอมจะเป็นตัวเทคโอเวอร์ตามลำดับ จนกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก ก็ปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นจะมีความอวลๆ ไม้หอมที่ชัดเจน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีโทนแอมเบอร์ที่ค่อนมาทางยางไม้อวลๆ เสริมเข้ามาทำให้กลิ่นไม้จันทน์หอมมีความครีมนวลติดไม้แห้งๆ อุ่นๆ กลิ่นจะได้ความรู้สึกเป็นสีส้มนวลครีมได้อย่างชัดเจนมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นแอบมีโทนเข้าทางน้ำหอมผู้ชายที่เด่นที่โทนไม้อวลๆ ให้จับต้องได้ เพียงแต่ก็ไม่ได้แมนจ๋าๆ ชัดๆ อะไรขนาดนั้น โดยยังให้ความเรียบง่ายติดเรียบหรู ไม่หนักน่วงเบาๆ คลอผิวไปเรื่อยๆ แบบ Whispersing Scent นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex แบบใช้ได้ทุกเพศ แม้จะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่านิดหน่อย แต่กลิ่นก็ยังมีลักษณะที่ผู้หญิงใช้ได้สบายๆ ยิ่งถ้าสาวๆ คนไหนชอบโทนกลิ่นไม้หอมอยู่แล้ว อาจจะฟินไปเลยล่ะ ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปแบบที่ไม่เน้นกิจกรรมเรียกเหงื่อ กลางแจ้ง หรืิอออกกำลังกาย แม้จะใส่ได้ แต่กลิ่นไม่ได้ไปสายนั้น เน้นสายอบอุ่นแทนเสียมากกว่า ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่เพื่อสร้างความหอมโทนส้มปนอบอุ่นหรือใส่ออกงานแบบอากาศบ้านเราอันนี้ได้อยู่ 

ความทน - อันนี้เกินคาด เพราะกลิ่นทนเกินการเป็น Cologne พอสมควร ระหว่าง 6 - 8 ชม. เป็นหลัก ซึ่งถ้าผิวกายและจำนวนสเปรย์เหมาะสม กลิ่นลากยาวไปที่ 12 ชม. ก็ยังได้ เพราะเนื้อกลิ่นที่เป็น Base มันเป็นโทนไม้กับโทนแอมเบอร์ที่แหละที่ค่อนข้างอยู่ได้ยาวนานบนผิวกาย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ให้ความเป็นส้มใสๆ โทนแห้งกึ่ง Cocktail ได้ดีเลย แล้วถึงจะค่อยๆ ลดลงมาที่ปานกลางซักครู่ แล้วคุมโทนออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงช่วงท้าย จึงลดลงเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัวอ่อนๆ สไตล์ Whispering Scent ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น 

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นส้มที่มีความเฉพาะตัวและเป็นการเล่นโทนสีส้มในเนื้อกลิ่นได้น่าสนใจมากจากส้มสว่างปนสดใส มาเป็นส้มติดนวล แล้วมาเป็นส้มอ่อนนวลครีมอบอุ่นออกทางสีเนื้อไม้ ซึ่งก็ต้องยอมเขาล่ะ เพราะกลิ่นสร้างออร่าอบอุ่นสไตล์สีส้มไล่โทนได้ดีเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.davidjones.com/brand/jo-malone-london/22202540/Orange-Bitters-Cologne-100ml.html


วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Guerlain - Aqua Allegoria Rosa Pop

Guerlain - Aqua Allegoria Rosa Pop

สาย Aqua Allegoria ของ Guerlain ส่วนใหญ่จะวางจำหน่ายกัน 2 ขนาด คือ 75 ml และ 125 ml แต่มีผ่าเหล่ามาอยู่ 1 รุ่นที่วางจำหน่ายเฉพาะขนาด 100 ml เพียงอย่างเดียวไม่มีขนาดอื่น (ถ้ามีขนาดอื่นก็ไม่ยืนยันว่าแท้ทรูหรือไม่) นั่นก็คือรุ่น Rosa Pop ซึ่งไม่เพียงขนาดไม่เหมือนชาวบ้านในไลน์เดียวกันแล้ว ตัวขวดยังไม่มีโลหะรังผึ้งครอบที่เป็นลายเซ็นหลักของขวดโซนนี้อีกด้วย เพราะอะไรน่ะหรือ

เพราะรุ่นนี้ทำออกมาแบบ Limited Edition ที่เป็น Exclusive จำหน่ายที่ Duty Free ต่างๆ ในปี 2016 นั่นเอง เช่นนั้นกุหลาบแบบ Pop Pop ขวดนี้อาการมันเป็นอย่างไร ก็ต้องเล่าออกมาแบบนี้เลย 

สปอยกันเต็มๆ ว่า จุดเด่นของน้ำหอมขวดนี้ไม่ได้เน้นที่กุหลาบแต่อย่างใด แต่เน้นที่ความเป็นสีชมพูสดใสของดอกโบตั๋น (Peony) และดอกไวโอเล็ตเสียมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่ากุหลาบจะหายแซ่บหายสอย เพราะยังคงมีอยู่เป็นลูกคู่สนับสนุนชั้นดี ซึ่ง Top Notes จะเป็นการเปิดตัวสร้างความสดใสสไตล์ Aqua กันก่อน โดยที่เอาความฉ่ำของสาย Citrus ที่ให้อารมณ์แบบ Fresh Cologne ที่เปรี้ยวฉ่ำเจือหวานปลายมาเป็นตัวเปิด โดยพาเพื่อนสายโทนกลิ่นออกทางติดเบอร์รี่สีแดงกึ่งผักรูบาร์ปที่ให้กลิ่นแนวติดโทนเบอร์รี่เคล้ากับเปรี้ยวแยมเจือเขียวนิดๆ กันก่อน แล้วกลิ่นโทนดอกไม้จะตามมาติดๆ ในการสร้างกลิ่นอายสาย Fruity Floral เคล้าความสดชื่นกันแบบเต็มๆ ซึ่งกลิ่นที่เสริมขึ้นมาจะจับต้องได้ชัดเจนมากๆ เลยคือ ดอกไวโอเล็ต ที่ให้อารมณ์โทนแป้งสดชื่นติดนวลหวานมีความเขียวเจือในกลิ่น และกลิ่นโทนกุหลาบที่ให้อารมณ์สีชมพูหวานใสๆ เจืออวลอ่อนๆ ที่จะมาเปลี่ยนช่วงของน้ำหอมในการเข้าสู่ Middle Notes ที่ช่วงนี้คือดอกไม้มาเต็มอย่างแท้ทรู เพียงแต่จะไม่ได้มาแบบแห้งอวล เพราะเนื้อกลิ่นจะมีความชื้นๆ ได้อารมณ์ตามสไตล์ของไลน์ที่ต้องมีความ Aqua เจือๆ ในกลิ่นเสมอ ซึ่งโทนสายกลิ่นเสดชื่นจะเริ่มเบาลงไป เปลี่ยนให้กลิ่นแป้งหอมติดชื้นสดชื่นของไวโอเล็ตนำทีมเคล้าไปกับกลิ่นโทนกุหลาบที่เริ่มแยกได้ชัดมากขึ้นเพราะจะได้ลักษณะของกุหลาบใสๆ สดชื่นสีชมพูชัดเลยจากดอกโบตั๋นที่ตีคู่ไปกับไวโอเล็ต แต่จะมีเลเยอร์กลิ่นที่ติดโทนกุหลาบซ้อนลงไปหน่อย เพราะจะได้ความเป็นโทนแบบกุหลาบอวลแห้งอ่อนๆ โรแมนติคเข้ามาร่วมด้วย ทำให้จะได้ลักษณะกลิ่นโทนแป้งหอมกุหลาบสีชมพูสดชื่นกำลังดี ได้ความน่ารักปนเรียบหรูรื่นรมย์ได้เต็มๆ และฟินได้เลยสำหรับคนที่ชอบกลิ่นแป้งกุหลาบเป็นทุนเดิม 

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มมีเข้ามาเมื่อผ่านช่วงกลางไปยาวพอสมควร เพราะเนื้อกลิ่นจะมีความแห้งมากขึ้น และมีความเป็นแป้งที่นวลมากขึ้นด้วยตามลำดับโดยไม่ได้ทิ้งความเป็นโทนไวโอเล็ตกับโทนกุหลาบแต่อย่างใด ซึ่งจะเริ่มจับต้องได้ว่ามีกลิ่นโทนนวลสะอาดและเป็นตัวเสริมโทนแป้งได้ดีอย่าง White Musk เข้ามาเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นตามลำดับ และปรับช่วงเข้าสู่ Base Notes ที่จะเป็นกลิ่นโทนแป้งหอมนวลหวานของไวโอเล็ตที่มีเลเยอร์ของโบตั๋นซ้อนกุหลาบ เสริมด้วย Musk ที่ทำให้กลิ่นมีความนวลมากขึ้น แต่กลิ่นก็ไม่ได้ข้นหนักเกินไป เพราะจะมีกลิ่นโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่มาเนียนๆ ช่วยเสริมให้กลิ่นเป็นแป้งนวลหอมโปร่งหวานดอกไม้ละมุนๆ อยู่ โดยที่ไม่มีความชื้นในเนื้อกลิ่นให้จับต้องได้แล้ว ซึ่งจะให้อารมณ์หวานนวลแซมโปร่งเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นที่ให้ความเรียบหรูคุมโทนความสีชมพูอ่อนสบายๆ หวานอ่อนโยนกันไปเรื่อยๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นให้ความเป็นแป้งหอมรื่นรมย์อมสีชมพูอ่อนที่ให้ความโรแมนติคและอ่อนโยนได้ดีเลยทีเดียว โดยสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่เพื่อการออกกำลังกายที่ไม่ Match เท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่แบบทั่วๆ ไปหรือออกทางโรแมนติคจะดีกว่า ส่วนการใส่ไปท่องราตรีเต้นแร้งเต้นกา บอกเลยใช้ตัวอื่นเถอะ 

ความทน - เกินคาดเพราะในโซน Aqua Allegoria ความทนมักจะไม่ได้พีคนัก แต่กลิ่นนี้ทำได้ดีแตะที่ 8 ชม. และยาวไปต่อได้อีก อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวใช้ไป 6 สเปรย์ เจอไปที่ 10 ชม. ได้สบายมาก ถือว่าทนเกินหน้าเกินตาตัวอื่นๆ ในรุ่นเลยล่ะ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายปานกลางซักครู่ ก่อนจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้าย พอพ้นไปซัก 6 ชม. ถึงจะเริ่มเป็น Skin Scent 

สรุป - อีกหนึ่งในการเป็นโทนกลิ่นแป้งหอมกุหลาบให้อารมณ์สีชมพูอ่อนมีระดับ อ่อนโยน และเรียบหรู โดยที่ให้ความเป็นธรรมชาติของความเป็นดอกไวโอเล็ตและโบตั๋นได้ดีเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.lelong.com.my/100-original-perfume-guerlain-aqua-allegoria-rosa-pop-100ml-edt-spra-lisa8878-206900393-2018-08-Sale-P.htm

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Guerlain - Aqua Allegoria Rosa Rossa

Guerlain - Aqua Allegoria Rosa Rossa 

ในสายน้ำหอมสดชื่นของ Guerlain อย่าง Collection - Aqua Allegoria ที่อยู่มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1999 จนถึงทุกวันนี้ จะว่าไปทุกปีที่มีน้ำหอมในไลน์นี้ออก มักจะมีน้ำหอมโทนกุหลาบสดชื่นให้เห็นเสมอ ซึ่งอาจจะเป็นทั้งรุ่นชูโรงหรือเป็นกลิ่นเด่นที่สนับสนุนกลิ่นหลัก ซึ่งในปี 2018 สายนี้ก็ออกกลิ่นอายกุหลาบสดชื่นมาอีกหนึ่งกลิ่นที่เริ่มแตกความเป็นกลิ่นอายกุหลาบสดชื่นแต่มีความทันสมัยในเนื้อกลิ่นเข้ามาขยายกลุ่มผู้ใช้ให้กว้างขึ้น เช่นนั้นก็ต้องเล่ากันซักหน่อยว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไร กับรุ่นนี้เลย Rosa Rossa 

เปิดตัวกันด้วยความเป็นกลิ่นอายฉ่ำติดเปรี้ยวเบาๆ จากลิ้นจี่กันก่อนเลย กลิ่นจะมีความเป็นเฉพาะตัวแบบฉ่ำๆ หวานติดจืดกึ่งเปรี้ยวกำลังดี ไม่ได้ตะบี้ตะบันอัดความเป็นลิ้นจี่แบบไซรัปแต่อย่างใด และจะมีโทนที่ติดออกทางเปรี้ยวแปร่งหน่อยๆ อารมณ์แบบเราดมลูกแบล็คเคอแรนท์สดๆ ที่จะมีกลิ่นติดแอมโมเนียเล็กๆ ที่จะมาคลุกเคล้ากับกลิ่นอายสดชื่นติดขมเปรี้ยวปร่าสร้างบรรยากาศของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) กับเขาด้วย เลยทำให้วูบแรกอารมณ์แบบสดชื่นติดฉ่ำชื้นเด่นที่โทนผลไม้กลิ่นอายตามธรรมชาติจะเป็นตัวสร้างความสว่าง โดยมีลักษณะสไตล์ Cologne ในเนื้อกลิ่นได้ดีเลยทีเดียว และเพียงชั่วขณะก็จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายกุหลาบอ่อนๆ ที่จะค่อยๆ เนียนแทรกตัวเข้ามา อารมณ์แบบน้ำกุหลาบอวลเบาๆ ติดใสๆ เคล้ากลิ่นฉ่ำผลไม้ที่เป็นธรรมชาติเรื่อยๆ มาเรียงๆ แล้วจะค่อยๆ เทคโอเวอร์เรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวหลักในช่วงกลาง ซึ่งกลิ่นโทนผลไม้ติดฉ่ำบรรยากาศจะลดทอนลงไปเป็นฉากหลังที่ยังคุมโทนความสดชื่นอยู่ ให้กลิ่นกุหลาบอวลอ่อนๆ ส่งกลิ่นหอมระเรื่อสร้างความรื่นรมย์สบายๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นในช่วงนี้เริ่มจะมาในโทนสีออกทางชมพูอ่อนใสๆ สว่างๆ ที่กลิ่นมีความอ่อนโยนกำลังดี โดยที่กลิ่นไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากเลย มาสายมินิมัลกันอย่างชัดเจน 

การเปลี่ยนแปลงเริ่มที่จะมีขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่ปลายช่วงกลางที่กลิ่นจะเริ่มมีโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่ให้อารมณ์แบบไม้ซีดาร์สว่างๆ ซึ่งถ้าเดา ก็น่าจะเป็นกลิ่นสารหอมอย่าISO E Super ที่ให้โทนกลิ่นแนวๆ นี้ เข้ามาเป็นตัวรับช่วงต่อ โดนที่จะพาเพื่อนมาด้วยอย่าWhite Musk ที่เป็นฐานกลิ่นให้มีความนวลเบาๆ สะอาดๆ เป็นที่ตั้ง จนเมื่อกลิ่นโทนผลไม้จางไป แล้วกุหลาบก็ผันตัวเป็นสายบางเบาประปราย ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายที่กลิ่นไม้หอมโปร่งๆ เบาๆ อ่อนๆ คลอผิวไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าดมลงไปใกล้ๆ จะได้กลิ่นโทนสะอาดของ White Musk เจือกลิ่นกุหลาบบางเบา สร้างมิติที่เรียบง่ายเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจะจางไปจากผิว

เหมาะสำหรับ - สาวๆ ทุกเพศวัยตั้งแต่ ม.ต้นขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นมาแบบน้อยๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ เรียบหรูสบายๆ ในโทนสว่างแบบที่ใครได้กลิ่นก็ไม่ยี้ และครอบจักรวาลมากพอในการใช้งานยามกลางวันทุกช่วงเลย เพราะกลิ่นไม่ได้มาแบบจัดเต็มหนักหน่วง ให้ความเรื่อยๆ เบาๆ เลยไม่รบกวนใครนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบชิลล์ๆ หรือทั่วๆ ไป หรือจะช่วงโรแมนติคหน่อยๆ ที่ไม่จงใจพยายามใช้กลิ่นแรงๆ จนชาวบ้านผงะก็ทำได้ แต่ตัดการใส่ไปท่องราตรีทิ้งไปได้เลย ไร้ตัวตนทางกลิ่นเอาได้เวลาเจอกลิ่นหนักกลบมิด และเอาจริงๆ กลิ่นนี้ผู้ชายใช้ได้สบายมากเสียด้วย เพราะเป็นโทนกุหลาบสดชื่นเบาๆ ใส่กับชุดสีอ่อนๆ สร้างความใสๆ สบายๆ กึ่งโรแมนติคเนียนๆ ได้ดีด้วยซ้ำไป 

ความทน - ใช่ กลิ่นนี้เป็น EDT ที่ให้กลิ่นสไตล์ Cologne ความคาดหวังเรื่องความทนเลยลดลงมาหน่อย และที่สำคัญกลิ่นยังให้ความเป็นธรรมชาติ ก็เลยเดาได้ไม่ยากว่าความทนไม่น่าจะพีค บทสรุปก็อยู่ที่ราวๆ 4 ชม. และบวกเพิ่มให้ได้ไม่เกิน 2 ชม. ที่กลิ่นจะมีให้รับรู้ แต่ถ้าผิวกายชุ่มและเก็บน้ำหอมได้ดีสามารถยาวไปที่ 8 ชม. ได้อยู่จากที่เคยเจอมาในวันที่อากาศไม่ร้อนไม่หนาว 

การกระจาย - มาสาย Safe Scent กันตั้งแต่ต้นเลย เพราะกลิ่นจะกระจายปานกลางแล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวซักระยะ ถึงเป็น Skin Scent ยาวไปจนจางไป

สรุป - เนื้อกลิ่นค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ก็มีมิติที่เริ่มจากความธรรมชาติของกลิ่นสู่โทน Modern แบบไม้หอมโปร่งๆ ได้น่าสนใจมาก เพียงแต่ทุกอย่างจะคุมโทนแบFruity Floral Cologne เป็นหลัก เช่นนั้นบอกเลยถ้าใครชอบกุหลาบใสๆ สบายๆ เรื่อยๆ ไม่เน้นปล่อยพลัง และเป็น Summer Scent ทางด้านกลิ่นกุหลาบ ที่ทำให้โดนตกกันได้ง่ายๆ เลยล่ะ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.guerlain.com/uk/en-uk/p/aqua-allegoria-rosa-rossa-P013517.html

Review: Guerlain - Aqua Allegoria Teazzurra

Guerlain - Aqua Allegoria Teazzurra 

ในกลิ่นอายสาย Aromatic ที่สร้างความรื่นรมย์ก็ได้ ผ่อนคลายก็ดี สดชื่นก็ไปกับเขาได้ เย้ายวนก็เนียนๆ อยู่ไม่น้อย คงหนีไม่พ้นกลิ่น ชาที่เป็นกลิ่นที่คนทั่วโลกต่างคุ้นชินและรับความอะโรม่ากันมานักต่อนักทั้งการเป็นเครื่องดื่ ขนม อาหาร และน้ำหอม ซึ่งเมื่อ Guerlain เอาความเป็นชามานำเสนอโดยเอาเข้ามารวมกับสาย Aqua Allegoria ที่เน้นความสดชื่นและเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นแบบใสๆ กลิ่นอายที่ได้จะเป็นอย่างไร ก็มาเล่าต่อกันที่รุ่นนี้เลTeazzurra

Top Notes คือการสร้างบรรยากาศสดชื่นจากโทนกลิ่นสาย Citrus กันก่อน ที่เรียกว่าเป็นการผสมผสานเอาข้อดีของแต่ละ Note กลิ่นมาสร้างอัตลักษณ์บรรยากาศสดชื่นและสดใสได้ดีมาก โดยมีมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่จะให้โทนเปรี้ยวเจือขมปร่าสะอาด มีกลิ่นโทนเปรี้ยวแปร่งของเกรปฟรุตที่ให้โทนสว่า กลิ่นติดฉ่ำกำลังดีหวานอมเปรี้ยวหอมของส้มยูซุ และกลิ่นเปรี้ยวหอมเจือหวานปลายกลิ่นของเลมอน ซึ่งทุกโทนจะรับช่วงต่อกันสร้างลักษณะบรรยากาศแบบสดชื่นฟ้าใสยามเช้าที่ยังมีความชื้นเย็นเจือปนได้ดีมาก ให้อารมณ์สไตล์ออกทาง Cologne ที่เป็นธรรมชาติ และไม่กี่อึดใจก็บอกได้เลยว่าโทน Citrus ทั้งหลายเหล่านี้แหละ เป็นตัวเปิดปูทางกันเต็มๆ เพราะตัวเอกของน้ำหอมอย่างโทนอะโรม่าของชาเขียวกับกลิ่นโทนสมุนไพรติดเขียวที่มีความหวานอ่อนๆ ติดโทนหญ้าแห้งหน่อยๆ มีความเป็นดอกไม้เบาๆ ของดอกคาโมมายล์เสริมเข้ามา ทำให้สถานะเปลี่ยนเข้าสู่การเป็น Middle Notes อย่างเต็มตัวในที่สุด 

โทนกลิ่นชาเขียวคาโมมายด์เมื่อครอบพื้นที่กลิ่นครบแล้วจะมีตัวสนับสนุนชั้นดีอย่างโทน Citrus ที่ยังตามมาจากช่วงต้นที่ให้ความประปรายสร้างบรรยากาศสว่างๆ สดชื่นอยู่เช่นเดิม และยังมีกลิ่นโทนดอกมะลิที่ให้ความหวานใสๆ นวลๆ ทำให้ความเป้นโทนกลิ่นชาเขียวคาโมมายล์นั้นมีมิติที่ไม่ได้ตรงๆ ทื่อๆ เกินไป ยังมีความอะโรม่าที่ไล่เรียงจากโทน Aromatic โทนสมุนไพร โทนสดชื่นติดฉ่ำอ่อนๆ และโทนดอกไม้ขาวใสๆ ให้จับต้องได้แบบที่กลิ่นสอดรับและผสมผสานกันเป็นอย่างดี แบบชาคาโมมายด์หอมท่ามกลางบรรยากาศรอบตัวยามเช้าในสวนที่มีกลิ่นรื่นรมย์ต่างๆ สนับสนุน โดยมาสายมินิมัลน้อยแต่มาก เรียบแต่หรูกันอย่างชัดเจน ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปยาวๆ พอสมควร โทนกลิ่นจะเริ่มมีความนวลสะอาดมาให้สัมผัสมากขึ้น เพียงแต่จะยังมีความสดชื่นติดชื้นๆ บางๆ มาตัดทอนไม่ให้เป็นสายนวลจัดพลิกเกมอะไรนัก จนเมื่อจับต้องได้ว่าเป็นกลิ่นโทน Musk กับโทนแป้งวานิลลาอ่อนๆ เบาๆ กลิ่นก็ผันตัวเข้าสู่ Base Notes เต็มตัว โดยที่โทน Citrus จะจางไปหมดแล้ว แต่จะมาลักษณะแบบกลิ่นอายนวลๆ สบายๆ สะอาด มีความอบอุ่นอ่อนๆ แบบกลิ่นแป้งเบาๆ ที่เคล้ากลิ่นชาเขียวคาโมมายล์อ่อนๆ ที่มีมิติของกลิ่นโทนเขียวกึ่งสมุนไพรบางๆ ในการปิดท้ายความรื่นรมย์ทางกลิ่นที่จะคลอผิวกายไปเรื่อยๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมากถึงมากที่สุด เพราะว่ากลิ่นมีความกลางๆ รวมถึงมีคึวามอะโรม่าสบายๆ ที่เข้าถึงได้ง่ายแตะได้ทุกเพศ โดยไม่หนักหน่วงแต่อย่างใด ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ตั้งแต่วัยประถมกันได้เลยด้วยซ้ำ (แต่เด็กๆ ให้ฉีดเสื้อที่สวมก็พอ) ซึ่งใช้ได้แบบกวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันเพราะกลิ่นให้ความรื่นรมย์ผ่อนคลายสบายๆ ปนสดชื่นแบบที่ยังไงก็ไม่โดนยี้ง่ายๆ แถมยังมีความเรียบหรูให้รู้สึกได้ตลอดอีกด้วย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบยามพักผ่อนหรือชิลล์ๆ ทั่วไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวน เลยไม่เหมาะเลยที่จะใส่ไปเที่ยวกลางคืน 

ความทน - อยู่ที่ราว 6 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 2 ชม. อิงตามสภาพผิวกายผู้ใช้ สภาพอากาศ และจำนวนสเปรย์ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. บ่อยครั้งมากกับการใช้ที่ 6 - 7 สเปรย์ (รวมฉีดเสื้อที่สวมด้วย) 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในช่วงต้น และคงที่พอสมควรจนถึงช่วงกลางที่จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอเข้าช่วงท้ายก็ Skin Scent เป็นที่เรียบร้อย แต่กลิ่นก็ยังตีขึ้นอ่อนๆ เวลาขยับเนื้อตัวอยู่ 

สรุป - น้ำหอมกลิ่นชาในโลกใบนี้มีเยอะมาก แต่ต้องบอกว่านี่คือกลิ่นโทนชาอีกกลิ่นที่ดึงตัวเองออกมาน้ำหอมกลิ่นชาในท้องตลาดมานำเสนอโทนกลิ่นเป็นแบบ ชาเขียว+ดอกคาโมมายล์ที่ให้ความอะโรม่าสบายๆ รื่นรมย์และรื่นจมูกมากเลยทีเดียว กลิ่นอาจจะไม่ได้พีคเน้นปล่อยพลัง แต่เรื่องความเรียบหรู ดูมีระดับต้องยกให้จริงๆ ว่าครบตามแบบ Guerlain พึงมีเลยล่ะ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.guerlain.com/be/en-be/p/aqua-allegoria-teazzurra-P013519.html