วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

Review: Memo Paris - Moon Fever

Memo Paris - Moon Fever 

เมื่อผ่านกลิ่นอายหนังในรูปแบบต่างๆ กับแบรนด์ Memo Paris (Spoiler Alert! - อีกไม่นานน่าจะเข้ามาเปิด Counter ขายในประเทศไทย) ใน Collection - Cuirs Namades ซึ่งก็ยังไม่จบ เพราะมีรุ่นใหม่พึ่งย้ายมาจาก Collection อื่นของแบรนด์มาเสริมทัพ เช่นนั้นติดตามกันต่อว่ารุ่นที่กำลังจะเล่ากลิ่นอย่าง Moon Fever นี้จะเป็นอย่างไร 

บอกก่อน - เดิมทีรุ่นนี้ชื่อว่า Moon Safari และอยู่ใน Collection - Les Echappées มาก่อน แต่เนื่องด้วยอาจจะไปตรงกับชื่อทางลิขสิทธิ์อะไรเข้าจึงได้เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น Moon Fever ทิ้งช่วงใน Collection เดิมพักนึงแล้วค่อยย้ายมาอยู่ใน Cuirs Namades รวมกับสายหนังต่างๆ ในปัจจุบันนี้ โดยเปลี่ยนจากขวดใสเป็นขวดดำด้วยเช่นกัน ซึ่งแอบเสียดายชื่อเก่ามาก เพราะมันจะสื่อสารถึงกลิ่นนี้ได้ชัดเจนจริงๆ 

Top Notes เปิดตัวกันด้วยความเป็นกลิ่นอาย Citrus ติดออกทางเมทัลลิคเย็นๆ และมีความเขียวรองพื้นอยู่ ซึ่งกลิ่นของเลมอนจะเด่นออกมาให้ความเปรี้ยวสดชื่นแบบสว่างๆ เจือหวานปลายผสมผสานกับกลิ่นออกทางส้มใสๆ ของส้มขมกับกลิ่นของเกรปฟรุตที่ให้ลักษณะสดชื่นติดแปร่งเมทัลลิคเย็นๆ ได้อย่างลงตัว แต่ต้องบอกว่ากลิ่นไม่ได้เป็น Citrus ที่แบบน้ำใสๆ นัก ค่อนไปทางแห้งอยู่พอสมควร เพราะความเขียวค่อนไปทางหญ้าหน่อยๆ เจือสมุนไพรค่อนไปทางคล้ายโทนลาเวนเดอร์และกลิ่นหนังติดสาปจางๆ มีความดาร์กเท่ห์ที่เสริมเข้ามาค่อนข้างชัดจะตัดทอนอารมณ์สว่างๆ ของ Citrus พอตัว ทำให้ได้อารมณ์แบบอากาศสดชื่นติดกลิ่นเขียวเคล้ากลิ่นหนังที่ได้ความดาร์กสาปบางๆ เสียมากกว่า ซึ่งช่วงนี้แอบมีลักษณะคล้ายน้ำหอมหลายๆ ตัวสายผู้ชายที่กลิ่นอายเป็Citrus ติดเขียวปนออกอยู่บ้างพอสมควรแต่ก็เพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น 

เมื่อเข้าสู่ Middle Notes ความเป็น Citrus เจือเมทัลลิคในตอนต้นจะลดลงแต่จะไปเสริมโทนกลิ่นที่เริ่มชัดเจนมากขึ้นกับความเป็น Green Citrus อย่างใบเวอร์บีน่าที่จะให้โทนแบบเลมอนแต่ออกทางเขียวหญ้าหน่อยๆ ซึ่งกลิ่นจะมีความเป็นสมุนไพรปร่าๆ เจือโทนกลิ่นคล้ายลาเวนเดอร์กับกลิ่นดอกส้มที่ออกทางติดเขียวแบบ Neroli ค่อนไปทางแห้งโปร่ง ซึ่งทำให้ได้อารมณ์แบบสะอาดและมีความหอมติดเขียวสดชื่นกำลังดี แต่กลิ่นยังคงคุมโทนไม่ได้ไปโทนสว่างเท่าไหร่ เพราะกลิ่นหนังติดสาปบางๆ และกลิ่นไม้แห้งๆ ที่ก็แทรกขึ้นมาทำให้กลิ่นมีมิตินอกจากกลิ่นเขียวสดชื่นแล้ว ยังมีความดาร์กอยู่ประปรายด้วยเช่นกัน ซึ่ง 2 โทนกลิ่นอย่างหนังและไม้หอมแห้งๆ ตามลักษณะของหญ้าแฝก จะเริ่มกลายเป็นตัวเด่นขึ้นตามลำดับใน Base Notes ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ออกทางสาปแล้ว เพราะมีความหวานหอมครีมมี่จางๆ ของถั่วตองก้าเข้ามาผสมผสาน ทำให้กลิ่นมีความกลมกล่อมกำลังดี มีความ Smoky หน่อยๆ ให้พอจับต้องได้จากหญ้าแฝกที่ชัดมากขึ้น โดยที่กลิ่นอายในช่วงกลางจะลดลงมาเจือให้พอรับรู้ได้แบบเบาๆ ให้ยังพอมีโทนสดชื่นเจือในกลิ่นอยู่จนกว่าจะจางลงไปจากผิว ซึ่งถ้ามองกันตามคำโปรยของแบรนด์ ก็ถือว่ากลิ่นก็ให้ความรู้สึกตามสิ่งที่แบรนด์บรรยายเกี่ยวกับรุ่นนี้ได้ในระดับหนึ่งเลยนั่นคือ กลิ่นอายแบบ Night Safari หรือสวนสัตว์กลางคืน ที่จะมีกลิ่นอายอากาศเย็นๆ เคล้ากลิ่นหญ้าทั้งสดและแห้ง รวมถึงสมุนไพรล้มลุกกับกลิ่นสาปสัตว์บางๆ ลอยมาตามลมที่เป็น Theme หลักให้จับต้องได้ โดยเอาความสดชื่นเป็นตัวตั้งก่อนเอาความเป็นบรรยากาศมาเสริมทัพนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ระบุเอาไว้ว่า Unisex แต่เอาจริงๆ ไปสายผู้ชายแมนๆ กันเลยทีเดียวราวๆ 85% ได้เลย ซึ่งสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยก็ย่อมได้ เพราะกลิ่นมันมีความสดชื่นปนเท่ห์ Cool ไม่ใช่น้อย รวมถึงสามารถใส่ได้ในช่วงกลางคืนเสียด้วย เพราะความสดชื่นมันไม่ได้ออกทางสว่างนัก รวมถึงมีโทนดึงดูดหน่อยๆ ของหนังและหญ้าแฝกเลยทำให้ใส่ได้สบายมากไม่ว่าสถานการณ์ไหนในยามค่ำคืน ถือว่าเป็นตัวครอบจักรวาลได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว 

ความทน - 8 ชม. กลิ่นยังคงอยู่แบบกำลังดี และลากยาวไปได้มากกว่านั้น อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวจัดไปที่ 5 สเปรย์ กลิ่นลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางกำลังดีไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้าย ซึ่งพอพ้นซัก 6 ชม. กลิ่นจะเริ่มแบบออร่ารอบๆ ตัวก่อนเป็น Skin Scent หลังจากผ่านไป 8 ชม. 

ทิ้งท้าย - สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือ กลิ่นในช่วงต้นมีความคุ้นอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งลักษณะแบบที่มีกลิ่น Citrus กลิ่นเวอร์บีน่า และกลิ่นโทนคล้ายลาเวนเดอร์ มันทำให้เผลอไปนึกถึงสไตล์แบบ Creed Green Irish Tweed, Davidoff Cool Water และ Lattafa - Rughba for Man เพียงแต่ว่ามีความเท่ห์ดาร์กกำลังดีของหนังและหญ้าแฝกที่ทำให้ดูแตกต่างและฉีกออกมาได้ลงตัว เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เอาหนังมาผสมผสานกับโทนสดชื่นได้น่าสนใจมาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - US.MemoParis
--> https://us.memoparis.com/1185/moon-fever.jpg

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

Review: Jo Malone - Myrrh & Tonka

Jo Malone - Myrrh & Tonka 

กลับมาสู่สาย Cologne Intense ขวดดำของ Jo Malone กันอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในไลน์ที่มีครบทั้งเรื่องความทนและกลิ่นที่คุมสไตล์ความเป็นแบรนด์ได้อย่างน่าสนใจ และคราวนี้ก็ได้เวลาของการจับคู่สาย Intense อย่าง Myrrh ที่มาสายยางไม้เจือหวานและ Tonka Bean ที่มาสายครีมมี่ Oriental เช่นนั้นกลิ่นจะเป็นเช่นไรก็ว่ากันตามนี้เลย

Myrrh & Tonka เปิดตัวกับช่วง Top Notes กับการเป็นกลิ่นอายลาเวนเดอร์ที่มีโทนกลิ่นที่มีความนวลอะโรม่าเจือสมุนไพรจางๆ แต่จะมีโทนกลิ่นอายแบบเครื่องเทศโทนอบอุ่นปนหวานเข้ามาผสมผสานแนวๆ เดียวกับกลิ่นอบเชย แต่สิ่งดีคือ กลิ่นไม่ได้ไปทางสายนัวและแน่นจัดเกินไป เพราะความเป็นลายเซ็นของ Jo Malone ที่คุมโทนลักษณะกลิ่นแบบสไตล์ Cologne เอาไว้แม้ว่าจะเป็นโทนอบอุ่นก็ตามได้ดีอยู่ กลิ่นเลยจะได้ความนวลแบบอะโรม่าปนหวานกำลังดี โดยที่จะได้ความรู้สึกของความเป็นยางไม้ติดหวานของ Myrrh ที่ค่อยๆ แทรกขึ้นมาผสมผสานจนกลายเป็นกลิ่นหลักในช่วงกลางที่เจือกลิ่นถั่วบางๆ Smoky ให้พอรู้สึกได้ รวมถึงมีความหวานหอมปนกลิ่นไม้หอมที่มีโทนติดเครื่องเทศบางๆ ที่มีความดึงดูดน่าค้นหาเจืออยู่ ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นของลาเวนเดอร์เจือเครื่องเทศโทนอุ่นที่ให้ความนวลจะยังให้จับต้องได้แบบผู้สนับสนุนรองใจดีในกลิ่นด้วยเช่นกัน โทนกลิ่นโดยรวมเลยได้ความเป็นยางไม้ที่อบอุ่นเคล้าความหวานนวลที่ดึงดูดแบบไม่จงใจได้อย่างลงตัว และไม่ดูเยอะหรือแหลมเกินไป 

เพียงไม่นานความเป็นสีน้ำตาลจะเริ่มมีความครีมมี่ติดแป้งเบาๆ เข้ามาเสริมมากขึ้นจากถั่วตองก้าที่ อารมณ์แบบสีโทนชาของกลิ่นอายยางไม้โดนสีครีมของกลิ่นโทน Oriental มาผสมทีละหน่อยจนเริ่มมีความพอดีพอเหมาะของการผสมผสาน ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายอย่างเป็นทางการที่บ่งบอกถึงการเป็น Myrrh & Tonka ได้ชัดเจน เพราะกลิ่นยังคงเป็นยางไม้เจือความหวานปน Smoky อ่อนๆ ดาร์กนัวแบบนุ่มๆ อยู่ในความเป็นโทนครีมมี่บางๆ คล้ายมีโทนแบบแป้งติดถั่วแนวอัลมอนด์เคล้าความเป็นวานิลลาหน่อยๆ แบบ Lite Version ที่ทำให้กลิ่นมีความอบอุ่นอวลผิวกายรองพื้นดันให้กลิ่นยางไม้ของ Myrrh ผสมกับโทนไม้หอมที่กลั้วอยู่ข้างในเเป็นลักษณะ On Top ที่ทำให้กลิ่นมีความน่าค้นหาเป็นโทนหลักโดยทีให้ความหรูหราปนเรียบหรูในความเป็นโทนอบอุ่นได้ลงตัว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความเป็น Unisex ตามที่แบรนด์ลงไว้ชัดเจน ซึ่งเข้ากับวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เพียงแต่กลิ่นแม้จะหวานแต่ก็มีความขรึมน่าค้นหาไปตลอด จึงเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะใส่ออกงาน หรือใส่ทั่วๆ ไปแบบอยู่ในห้องแอร์ มากกว่าจะออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย เพราะกลิ่นมาสายอวล เกรงว่าจะอึดอัดเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนต้องบอกเลยว่ากลิ่นนี้ของ Jo Malone เข้ากับยามกลางคืนมาก น่าค้นหาอย่างมีระดับ และไม่ใช่เล่นๆ เลยทีเดียวในแง่ของความหวานเย้ายวน 

ความทน - เป็นอีกหนึ่งรุ่นของสาย Cologne Intense ที่ทนมาก โดยเฉลี่ยกลิ่นจะทนราวๆ 8 ชม. ซึ่งเกินค่าเฉลี่ยความทนของแบรนด์นี้มาก แต่ก็อิงที่จำนวนสเปรย์ด้วยเป็นสำคัญ ซึ่งสิ่งที่เจอจากการใช้งานจริงหลายครั้ง ต้องยอมใจเลยว่ากับ 6 สเปรย์ อยู่ได้ถึง 12 ชม. เกินคาดมากจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลาง แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นซัก 6 ชม. ไปแล้วจะเป็น Skin Scent ในเวลาถัดมา 

ทิ้งท้าย - ภาพรวมของกลิ่นไล่เรียงกันมาแบบค่อยเป็นค่อยไปได้น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ Myrrh ที่จะเป็นโทนหลักของน้ำหอมรุ่นนี้และสนับสนุนหลักด้วยความเป็นโทนกลิ่นออกทางครีมมี่ติดแป้งของ Tonka Bean ซึ่งกลิ่นลักษณะนี้ถ้ามากไปจะดูแน่นนัวไปหมด แต่เพราะเนื้อกลิ่นยังมีลายเซ็นของ Jo Malone จึงเข้าถึงได้ไม่ยาก น่าค้นหา และมีระดับมากกว่าที่คิดเสียด้วยนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Scentfile: https://scentfie.com/product/jml-myrrh-tonka/



วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

Review: Jo Malone - Rose & White Musk Absolu

Jo Malone - Rose & White Musk Absolu 

จาก Cologne สู่ความเข้มข้นอีกระดับเป็น Cologne Intense ซึ่งก็ยังไม่จบก็ได้เวลาของ Cologne Absolu กันบ้างที่ Jo Malone จะมานำเสนอความเป็น Cologne ในรูปแบบที่เข้มข้นมากขึ้น ซึ่งน่าจะแตะความเข้มข้นเดียวกับระดับ EDP แล้ว เช่นนั้นเมื่อได้โอกาสก็จัดมาซะหน่อยเพื่อที่จะได้รู้กันว่ากลิ่นจะมาในลักษณะไหนและเป็นอย่างไรบ้างกับรุ่นแรกของสายนี้เลยอย่าRose & White Musk Absolu 

เปิดตัวกับแรกสเปรย์ด้วยกลิ่นอายกุหลาบที่กลิ่นอายกลางๆ ค่อนไปทางคมหน่อยๆ มีความสดชื่นบางๆ ของความเป็นลักษณะน้ำกุหลาบหน่อยๆ ที่ให้จับต้องได้ในวูบแรก แล้วจะกลายเป็นกลิ่นอายสไตล์กุหลาบที่มากำลังดีไม่ได้หนักหน่วง ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะจับได้ชัดเจนถึงความเป็นกลิ่นไม้หอมติด Smoky ของโทนกลิ่นสไตล์ Oud หรือไม้กฤษณาที่เข้ามาผสมผสานในช่วงนี้ กลิ่นจะมีความอวลปนนัวๆ กันให้จับต้องได้แต่ไม่ได้ถึงกับปล่อยพลังรอบทิศ แต่ยังไงก็ตาม กลิ่นอายจะค่อนไปทางน้ำหอมโทนตะวันออกกลางอยู่พอตัว เรียกว่าดมแล้วอาจจะตกใจที่ Jo Malone มาสายอาหรับเข้าให้ กับความเป็นกุหลาบและ Oud แบบนี้ แต่เพราะกลิ่นอายไม่ได้หนักมาก เลยจะได้ความรู้สึกหรูหราและน่าค้นหาแบบอวลๆ ดึงดูด โดยที่ยังคุมโทนความเป็นสไตล์ Jo Malone ที่ให้ความรู้สึกเรียบหรูแม้ว่าจะเป็นสาย Absolu ก็ตาม 

จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงให้รู้สึกได้จากกลิ่นอายของ White Musk ที่จะให้โทนกลิ่นออกทางนุ่มเคล้ากลิ่นแป้งหอมสะอาดนวลเข้ามาผสมผสานเรื่อยๆ ความเป็นตะวันออกกลางในเนื้อกลิ่นที่จับได้ในช่วงแรกๆ โดยที่กลิ่นจะเริ่มมีความนุ่มและละมุนในเนื้อกลิ่นมากขึ้นมาผสมผสานกับความเป็นกุหลาบจนมีลักษณะของความอะโรม่านวลที่เข้มข้น แต่จะออกแนวเป็นออร่าอวลๆ รอบๆ ตัวแทนเสียมาก ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ว่ามีความอบอุ่นเจือกลิ่นอาย Oud บางๆ ให้ความน่าค้นหาและดึงดูดในกลิ่น โดยที่มีความ Smoky อ่อนๆ สนับสนุนกลิ่นอายนุ่มๆ ของกุหลาบและ White Musk ที่เป็นตัวเอกของกลิ่นให้มีความหรูหรา เย้ายวน และมีความอวลนวลรุมๆ บนผิวอย่างมีชั้นเชิงไปตลอด 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความเป็น Unisex ตามที่แบรนด์ได้ระบุเอาไว้ แต่ก็เดินเฉไปทางสาวๆ ราวๆ 70% ได้ เพราะความเป็นกุหลาบ แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายมาก ซึ่งจะเหมาะกับวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป แต่อาจจะต้องผ่านน้ำหอมโทนตะวันออกกลางมาบ้างนิดหน่อย หรือเคยจับต้องความเป็นกุหลาบและ Oud มาบ้างแล้วจะเข้าถึงได้ดีมากขึ้นเยอะเลย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะเนื้อกลิ่นมาสายอวลอยู่พอสมควรเตามลักษณะของพื้นฐานกลิ่น ให้ตัดการใส่เพื่อออกกลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งออกไปได้เลย เดี๋ยวกลิ่นตีขึ้นจนเรียกหาออกซิเจนเอาได้ ส่วนยามค่ำคืน นี่แหละเข้าทางเรียกว่าเป็นตัวแรกของ Jo Malone เลยก็ว่าได้ ที่เข้ากับการใส่ไปท่องราตรีแบบหรูๆ หน่อย ไม่ได้เน้นสายไก่กา เพราะเนื้อกลิ่นยังมีความเป็นสไตล์ของแบรนด์ที่กลิ่นไม่เน้นหนักหน่วงปล่อยพลังหมื่นลี้มาก แต่ก็ยังสร้างความน่าค้นหาและน่าเข้าใกล้ได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - อันนี้ต้องยกให้เขา เพราะความทนอยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน อาจจะมีด้อยลงบ้าง แต่มากกว่า 8 ชม. ก็สบายมากเช่นกัน ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นยังติดผิวอยู่เลย เรียกว่าเกินคาดมากจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีตอนต้นเรียกว่ามาชัดเจน แล้วจะลดลงเป็นกระจายปานกลางที่คนรอบข้างได้กลิ่นไม่ยาก ก่อนจะปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นซัก 8 ชม. ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกกลิ่นที่มีความเป็นอาระเบียนแขกอยู่บ้างก็จริง แต่มัน Modern หรูหราและใส่ลายเซ็นของ Jo Malone ได้ดีแบบที่ให้เห็นอะไรใหม่ๆ เข้ามาด้วย โดยที่ยังคุมโทนความเป็นแบรนด์ได้อยู่ จนทำให้อยากติดตามตัวต่อๆ ไปของไลน์นี้ขึ้นมาทันทีเลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Fragrantica
: https://www.fragrantica.com/perfume/Jo-Malone-London/Rose-White-Musk-Absolu-49923.html

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561

Review: Louis Vuitton - Turbulences

Louis Vuitton - Turbulences 

Louis Vuitton หรือ LV ชื่อนี้ต่างก็รู้จักกันดีในแง่ของกระเป๋าและเครื่องหนังที่มีความ Luxury ขั้นสุด และวางตำแหน่งตัวเองในสาย High-End มาตลอด และได้รับความนิยมจนถึงทุกวันนี้ รวมถึงมีการขยับไปสู่แบรนด์สายแฟชั่นที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับในทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน โดยเอาเข้าจริงๆ แล้ว LV เองก็เคยมีน้ำหอมของแบรนด์มาก่อนโดยออกมาเป็นช่วงๆ ในปี 1927 - 1946 แต่ไม่ได้ถี่นัก จนมาในปี 2016 แบรนด์ได้กลับมาสู่การเปิดตัว Collection น้ำหอมอีกครั้งหลังจากห่างไปอย่างยาวนาน เช่นนั้นก็ได้เวลาเล่ากลิ่นอายความเป็น LV ผ่านน้ำหอมกันแล้วกับกลิ่นแรกที่ได้ลองอย่างกลิ่นนี้ Turbulences 

ปูทางกันก่อนเล่ากลิ่นได้เลยว่า เห็นชื่อกลิ่นนี้ในครั้งแรกเรียกว่าเดาได้ไม่ยาก เพราะน่าจะมาสายดอกไม้ขาวครีมมี่เย้ายวนแบบดอกซ่อนกลิ่น (Tuberose) อย่างแน่นอน ซึ่งก็เดาไม่ผิดและเกินคาดไปพอสมควร เพราะว่ากลิ่นไม่ได้เป็นลักษณะ Tuberose ที่เจริญรอยตามความเป็นตัวแม่ของน้ำหอมสายนี้อย่าง Robert Piguet - Fracas แต่แยกออกมาให้ความรู้สึกของการเป็น LV ที่จะมีกลิ่นอายของหนังเข้ามาร่วมด้วย โดยมีกลิ่นอายดอกไม้ขาวอื่นๆ มาผสมผสาน ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวด้วยความเป็นซ่อนกลิ่นที่จะเป็นตัวเดินเรื่องหลักไปจนถึงช่วงท้าย โดยเริ่มที่ความเป็นโทนครีมมี่ติดกลิ่นเห็ดหน่อยๆ และมีกลิ่นตุ่นๆ แบบธรรมชาติที่ดอกไม้ขาวมักจะมีกลิ่นอายแบบนี้เจือ ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาข้นคลั่กนัก มีความหอมครีมมี่ติดสดชื่นกำลังดี หวานกำลังงาม และมีความเป็นธรรมชาติที่เด่นกับการเป็นดอกไม้ขาวเจือความสดชื่น ตุ่นและเขียวบางๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ว่ามีลักษณะคล้ายกลิ่นอายของดอกไม้ขาวอื่นๆ อย่างเช่น ดอกพุด และมะลิเจืออยู่ในนั้น เคล้ากลิ่นอายติดเขียวธรรมชาติบางๆ ให้รับรู้ได้ รวมถึงมีกลิ่นแนวกระเป๋าหนังหน่อยๆ แทรกเข้ามาให้รู้สึกได้แบบรองพื้นด้านหลัง ซึ่งกลิ่นจะปูทางความเป็นซ่อนกลิ่นสดชื่นไปสักครู่แล้วจะเริ่มเข้าสู่การเป็นโทนช่อดอกไม้ขาวมากขึ้นในช่วงกลาง โดยซ่อนกลิ่นจะเป็นโทนที่เด่นนำให้รับรู้ได้อยู่ แต่จะมีกลิ่นอายสไตล์มะลิที่ให้ความหวานอะโรม่าและมีโทนติดครีมปนตุ่นๆ แบบเห็ดนิดๆ ในอีกรูปแบบสไตล์คล้ายดอกพุดเข้ามาเสริมด้วยทำให้ได้ความหวานหอมนวลเข้าทางโทนสีขาวสว่างเคล้าความสดชื่นบางๆ และมีความนวลติดกุหลาบเบาๆ ทำให้กลิ่นช่องดอกไม้ขาวมีมิติกลิ่นอายสีโทนครีมกับชมพูอ่อนบางๆ ผสมผสาน ทำให้กลิ่นจะมีความลุ่มลึก มีระดับและหรูหรา รวมถึงมีความเย้ายวนเจือไปด้วยตลอดจนถึงช่วงท้ายที่กลิ่นโทนดอกไม้ขาวเด่นที่ซ่อนกลิ่นจะเริ่มเบาลงมา แต่ยังให้ความหวานนวลครีมอยู่แบบกำลังดี และเปลี่ยนถ่ายให้โทน Musky ของ Musk เป็นตัวดึงโทนให้กลิ่นมีความนุ่มปนสะอาดมากขึ้น เคล้ากับกลิ่นอายสไตล์หนังออกทางนุ่มๆ ให้กลิ่นมีความเซ็กซี่ดึงดูดแบบลักษณะโทนสาปปลุกเร้าบางๆ ทำให้โทนกลิ่นดอกไม้สีขาวนวลครีมมีความ Dirty อ่อนๆ ให้จับต้องได้ด้วยเรียกว่าสร้างมิติให้กลิ่นมีความหลากหลายแบบเนียนๆ ได้ความรู้สึกหอมหวานนุ่มนวล วางตัวดี หรูหรา ปนน่าค้นหาและเซ็กซี่แบบไม่โจ่งแจ้งได้อย่างลงตัวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางลงไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นมีระดับในความครีมมี่ที่ไม่ได้ไปครีมนวลจัดจ้านมาก จึงสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งใส่กับโทนสีครีมหรือขาวยิ่ง Macth กันแบบชัดเจน โดยเฉพาะใส่ออกงาน กลิ่นโทนลักษณะนี้จะยกระดับผู้สวมใส่ให้ดูมีออร่าความหรูหราออกมาได้ไม่ยาก รวมถึงสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ไม่ได้ไปทางสายกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย ง่ายๆ เลือกใส่ให้เข้าทางจะออกมางานดีสุดๆ ประมาณนั้น ส่วนยามค่ำคืนยังคงตอบโจทย์ในลักษณะเดียวกันกับกลางวันคือ การใส่เพื่อออกงานหรูบ่งบอกความเป็นผู้หญิงที่มีคลาสมีระดับและมีจริตแฝงอยู่ให้จับต้องได้หรือใส่แบบทั่วๆ ไปให้ความรู้สึกครีมลุ่มลึกนวลๆ มากกว่าที่จะใส่ไปท่องราตรีแบบเมาหัวราน้ำนัก เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเริงร่าลั่นล้าเลยแม้แต่น้อย 

ความทน - ราวๆ 10 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ให้จับต้องได้ และยาวไปมากกว่านั้นสิ้นสุดที่ 15 ชม. กับการใช้งานจริงที่ 6 สเปรย์ ถือว่าดีงาม ซึ่งถ้ามองที่ค่าเฉลี่ยความทน น่าจะราวๆ 8 ชม. สำหรับในหลายๆ สภาพผิว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และค่อนข้างคงตัวในลักษณะการกระจายเช่นนี้พอสมควร จนเริ่มจะลดลงมากระจายปานกลางท้ายๆ ช่วงกลางแล้วค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้ทำให้นึกถึงผู้หญิงในชุดสีขาวแบบมั่นใจหรือชุดออกงานแนวๆ สีขาวที่มีระดับ แบบที่แฝงความเซ็กซี่แบบมีชั้นเชิงโดยถือคลัชสีโทนขาว เอิร์ธโทน หรือลายปกติแต่เป็นโทนสีอ่อนของ LV ที่ทำให้ดูหรูหรามากขึ้นไปอีก ซึ่งถือว่ากลิ่นสื่อลักษณะความ Modern ได้ดีมากและคุมโทนความเป็น Luxury ได้น่าสนใจจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Louis Vuitton - US Website
: https://us.louisvuitton.com/eng-us/products/turbulences-014420

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

Review: Cafe de Parfum - Grim Fantasia

Cafe de Parfum - Grim Fantasia 

คงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินนิทานเรื่อง หนูน้อยหมวกแดงที่มีต้นกำเนิดจากแถบยุโรป และมีการปรับเนื้อเรื่องไปตามแต่ละท้องถิ่น แต่ถ้าบอกว่าเวอร์ชั่นไหนแพร่หลายมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเวอร์ชั่นของพี่น้องตระกูล Grim ซึ่งเมื่อกลิ่นอายของความเป็นนิทานกับกลิ่นอายน้ำหอมมาเจอกันด้วยการสร้างสรรค์ของ Cafe de Parfum แบรนด์ไทยที่สร้างสรรค์กลิ่นอายหอมๆ จากแรงบันดาลใจจากของหวานใน Cafe จะเป็นเช่นไร ก็ได้เวลาของหนูน้อยหมวกแดงที่จะเอาของหวานไปฝากคุณยายกันแล้วกับน้ำหอมกับน้ำหอมกลิ่นนี้เลย Grim Fantasia 

เค้กแบล็คฟอเรส (เค้กที่มีเอกลักษณ์ของด้วยความผสมผสานของดาร์กชอคโกแลต ครีม และเชอร์รี่ประดับบนสุดของเค้ก ที่รสชาติหวานปนขมหอมเร้าใจสายชอบของหวานแนวชอคโกแลต) เป็นหนึ่งในของหวานที่นำมา Mix & Match เป็นหนึ่งในของหวานที่หนูน้อยหมวกแดงนำไปฝากคุณยาย โดยเริ่มเปิดการเดินทางเข้าสู่กลิ่นอายแบบหวานหอมเชอร์รี่ในไซรัปหวาน บางวูบจะได้อารมณ์แบบเชอร์รี่เชื่อมบนไอศครีมที่ให้ความรู้สึกน่ารักดันก่อนเลย แต่นี่แค่วูบแรกที่กระจายออกมา เพราะวูบถัดมาสิ่งที่ทำให้รู้สึกได้เลย คือ กลิ่นไม่ได้ง่ายและ Nice อย่างที่คิดแล้ว เพราะจะมีกลิ่นติดอับๆ ดาร์กๆ ที่เสริมขึ้นมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความหวานหอมของเชอร์รี่ โดยจะจับโทนกลิ่นได้ว่ามีความเป็นอบเชยหวานปนอุ่นโปร่งบางๆ กลิ่นสมุนไพรปร่าติดเขียวออกทาง ชื้นๆ กลิ่นหนังและโทน Earthy ใต้ดินอับๆ ซึ่งกลิ่นจะหักมุมกันได้เลยทีเดียวแบบว่าที่เห็น Nice น่ารักแบบแว้บแรก จริงๆ แล้วมันดาร์ก ลึกลับ และรู้สึกแปลกไม่น่าวางใจได้กับโทนกลิ่นที่มีความอับปนชื้น ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะหลายเป็นกลิ่นที่สามารถชี้ทิศทางกันได้เลยว่าจะ รักหรือ ลากับกลิ่นนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกควบคู่ไปด้วยคือ ความน่าค้นหาว่ากลิ่นจะไปยังไงต่อนี่แหละ ที่น่าติดตามจริงๆ 

เมื่อกลิ่นโทนอับเริ่มลดทอนลงมาแต่ยังหลงเหลืออยู่ให้รู้สึกได้ว่ากลิ่นยังมีอะไรที่ไม่น่าไว้วางใจและสะดุดใจให้รู้สึกสนใจอยู่กับความดึงดูดแปลกๆ นั้น สิ่งที่เริ่มชัดเจนขึ้นมาให้จับต้องได้ คือ ความเป็นโทนออกทางครีมๆ มันๆ ของวิปครีมที่เจือความหวานของกลิ่นเครื่องเทศอย่างอบเชยและแน่นอนว่ายังมีความเป็นเชอร์รี่หวานให้รู้สึกได้อยู่ แต่กลิ่นไม่ได้ไปสายขนมจ๋าๆ แน่นอน เพราะมีความปร่าบางๆ ออกทางสมุนไพรให้พอรู้สึก มีกลิ่นไม้หอมแห้งๆ กับกลิ่นหนังเคล้ากลิ่นโกโก้ที่เริ่มจะเด่นขึ้นมาตามลำดับเป็นสายสนับสนุนเบื้องหลังในช่วงนี้ กลิ่นเริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับเพียงแต่ยังไม่ได้ชัดเจนนักว่าจะออกมาในรูปไหน รู้แต่ว่าเริ่มมีโทนลักษณะออกทาง Vintage อบอุ่นเบาๆ เสริมเข้ามา เพียงแต่ยังคุมโทนความลึกลับดาร์กๆ ท่ามกลางความหวานให้รู้สึกได้แบบไม่หนักหน่วง แต่

ก็กลายเป็นการหักมุมอีกครั้งแบบพลิกไปจากช่วงก่อนหน้าเลย เพราะกลิ่นในช่วงก่อนๆ จะหายไปเกือบเสียทั้งหมดแบบหลีกทางให้กับช่วงท้ายที่กลิ่นโกโก้เริ่มเทคโอเวอร์กลายเป็นกลิ่นที่เป็นหัวใจหลักเพื่อเข้าสู่ช่วงท้ายที่มีความเป็นโทนดาร์กปนอบอุ่นเจือวานิลลาอ่อนๆ และความเป็นครีมมันๆ ปนหวานเชอร์รี่จะเหลือเพียงเบาบางให้พอรู้สึกได้ เคล้าไปกับกลิ่นของ Oak Moss ที่เริ่มชัดเจนเคล้ากับกลิ่นหนังที่ให้ความดิบแบบกลางๆ ไม่ได้ถึงกับไปสาย Animalic จัดๆ มากนัก ซึ่งถือว่าเป็นการแบ่งภาคที่ลงตัวมากระหว่างความเป็นกลิ่นลักษณะเป็นขนมที่ไม่ได้ขนมจ๋าๆ ออกแนวเหมือนมีขนมในซีนทั้งหมดเพียงจุดหนึ่งที่มองเห็นได้ กับโทน Vintage ที่ให้ความมีระดับและดึงดูด โดยยังคงความดาร์กและลุ่มลึกเป็นออร่าแผ่ถึงความซ่อนคมในความละมุนปนดาร์กได้เป็นอย่างดีและคงตัวบนผิวแบบที่มีพลังไปตลอด 

ซึ่งภาพรวมเรียกว่าเป็นกลิ่นที่มาลักษณะ Plot Twist หักมุมเป็นระยะๆ และมีความเป็นศิลปะแบบ Niche Perfume ที่มีลูกเล่นเปิดตัวแบบอาจจะไม่น่าพึงใจนัก มีความแปลกและนี่มันคือน้ำหอมจริงๆ เหรอ ก่อนจะมาพลิกเกมกลายเป็นโทนที่มีพลังและมีออร่าแบบ Last Boss ที่ซับซ้อนและปรามาสไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นลักษณะของหนูน้อยหมวกแดง มันคือการพลิกความเป็นเนื้อเรื่องให้ Fantasy ในอีกรูปแบบให้จบลงที่

หนูน้อยหมวกแดงนั่งกินเค้กแบล็คฟอเรสที่ติดตัวมากับคุณยายหน้าบ้านแบบมีระดับ ทั้งคู่มีรอยยิ้มที่เยือกเย็น แต่ใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองมีหมาป่าร้องอิ๋งๆ ถูกโซ่รัดคอกลายเป็นทาส นายพรานที่รีบมาเพื่อที่จะช่วยก็กลายเป็นเงิบไป เพราะว่าพึ่งเห็นว่าหมาป่าตัวนี้มาเล่นงานผิดคน 

ภาพที่เห็นเชื่อมโยงกับน้ำหอม - ผู้หญิงที่มีลุคน่ามองมีรอยยิ้มที่ดู Nice ในแรกพบ แต่พอหันไปดูอีกครั้งนางกับนิ่งมีออร่าที่มืดดาร์ก ดูซ่อนคมและซับซ้อนเกินหยั่งถึงง่ายๆ กับ เค้กแบล็คฟอเรสที่บอกเลเยอร์ชั้นเค้กที่แตกต่างชัดเจน

เหมาะสำหรับ - ได้ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป และต้องผ่านน้ำหอม Niche กับ Vintage มาระยะหนึ่ง เพื่ออย่างน้อยเวลามาเจอตัวนี้ จะได้เรียนรู้ไปกับกลิ่นอย่างสนุกสนานได้เลย ซึ่งกลิ่นเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป (รอซัก 30 นาทีหลังฉีดแล้วค่อยออกจากบ้านจะดีงาม) แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายหริือกิจกรรมกลางแจ้งไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ถ้าต้องการนำเสนอความดาร์กและมีพลังแบบซ่อนคม ไม่เน้นยั่วแต่เน้นให้รู้สึกได้ว่าไม่ง่าย นี่แหละใช่เลย

ความทน - ยอมมมม กลิ่นทนมาก 12 ชม. กลิ่นยังคงให้ความอวลๆ รุมๆ มีออร่าออกมาอยู่ให้จับต้องได้ตลอด กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ (เอาจริงๆ ตัวนี้ 4 - 5 สเปรย์ ก็เอาอยู่แล้ว) 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลาง แล้วปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย - วันนึงหนูเดินเข้าป่า เจอหมาป่าตัวหนึ่ง ถามว่าหนูว่าจะไปไหน หนูจึงตอบ หายายบ้านไกล อย่าเปรี้ยวได้ไหมถ้าไม่อยากตาย 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกจากแบรนด์ Cafe de Parfumและสุคนธกรผู้ปรุง นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Cafe de Parfum
--> https://www.cafedeparfumth.com/product/grim-fantasia/

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

Review: Stella McCartney - Stella

Stella McCartney - Stella 

พูดถึง Designer ชื่อดังแถมมีจุดเด่นที่ Concept การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หลายๆ คนในแวดวงแฟชั่นคงจะต้องนึกถึง Stella McCartney ลูกสาวมากความสามารถของ Sr.Paul McCartney หนึ่งในตำนานที่ยังมีชีวิตของวง The Beatle ซึ่งสไตล์ของแบรนด์นอกจากเรื่องเป็นการไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังทำให้เห็นถึงความเก๋ไก๋ในความเรียบง่าย (Simplicity Chic) ที่ใส่แล้วได้ทั
้งความเก๋และเท่ห์แบบไม่ต้องพยายาม แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นของคู่กับแฟชั่นเครื่องแต่งกายแล้ว คงหนีไม่พ้นน้ำหอมๆ ที่จะยกระดับความลุ่มลึกของบุคลิกภาพเข้าไปอีก ดังนั้นก็ได้เวลาของความหอมกับกลิ่นที่เป็นตัว Top สุดของแบรนด์ในการเล่ากลิ่นแล้ว กับกลิ่นนี้เลย Stella 

หลายๆ สำนักทางด้านการแนะนำน้ำหอมต่างก็ยกให้ Stella เป็นหนึ่งในน้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่ควรจะได้ลอง เพราะเนื้อกลิ่นจะเป็นกุหลาบสายเรียบง่าย มีความ Modern ใช้ง่าย แต่ไม่ธรรมดาเพราะมีความน่าค้นหาให้จับต้องได้ด้วย และเมื่อได้ใช้งานจริงก็เป็นเช่นนั้นตามคำเล่า เพราะกลิ่นของกุหลาบจะไม่ได้มาสาย Retro ที่ทำให้รู้สึกถึงความคลาสสิคแบบกุหลาบแดงชัดๆ แน่นๆ นัก แต่มาแบบทันสมัยกำลังดีแบบน้อยแต่ให้ความรู้สึกมากสไตล์สายมินิมัล โดย Top Notes เปิดตัวกันด้วยความเป็น Citrus Rose ที่เข้าถึงได้ง่าย มีความสดชื่นเจืออยู่ตลอด กลิ่นกุหลาบจะให้ความรู้สึกติดฉ่ำบางๆ ไม่ได้แห้งไปหรือออกแนวน้ำกุหลาบใสๆ เกินไป เนื้อกลิ่นจะแอบมีกลิ่นโทนสว่างของดอกโบตั๋นด้วยที่ให้ความเป็นกุหลาบแบบสดชื่นเคล้ากับกลิ่นโทน Citrus เปรี้ยวหอมบางๆ สดใสปนสะอาด ไม่คม และไม่ดูพยายามในการนำเสนอ ให้ความหอมกุหลาบที่เรียบง่ายและไม่หนักหน่วงแบบที่กลิ่นก็ยังจับต้องได้ตลอด ซึ่งถือเป็นความประทับใจแรกกลิ่นกันได้เลย

เมื่อกลิ่นโทน Citrus เริ่มจางลงไป เหลือกลิ่นโทนกุหลาบแบบกำลังดีเด่นขึ้นมา ซึ่งกลิ่นจะแห้งมากขึ้นและมีความอุ่นบางๆ ให้สัมผัสได้จากลักษณะของกลิ่นอายแบบแอมเบอร์เข้ามาผสมผสาน รวมถึงแอบเข้าทางโทนแป้งหอมกุหลาบหน่อยๆ เสียด้วย กลิ่นจะเริ่มมีความโรแมนติคผสมความน่าค้นหา ทั้งๆ ที่กลิ่นไม่ได้จัดจ้านอะไรแต่มีอะไรให้รู้สึกได้ถึงความดึงดูดด้วยเสน่ห์ของกลิ่นกุหลาบที่จับต้องได้ตลอดเวลา ส่งต่อไปยังช่วงท้ายที่มีความดาร์กเบาๆ จากกลิ่นไม้หอมเคล้าความอบอุ่นเจืออยู่ท่ามกลางความเป็นโทนกุหลาบที่อ้อยอิ่งระเรื่อๆ ลอยไปมา ซึ่งจะจับความรู้สึกจากโทนกลิ่นได้ไม่ยากว่ามีความโรแมนติคและน่าค้นหาให้รับรู้อยู่ตลอด ภาพรวมถือว่ากลิ่นนี้มีความแตกต่างและแยกตัวออกมาจากขนบความเป็นน้ำหอมกุหลาบแบบที่ไม่ได้หวือหวาก็จริง แต่ไม่ได้ปรุงแต่งนลืมเสน่ห์ที่ควรจะเป็นที่กุหลาบมักจะให้ได้ ซึ่งถือว่าเป็นการแจ้งเกิดน้ำหอมของ Stella McCartney ได้อย่างงดงามเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้อย่างสบาย กลิ่นมาแบบใช้ง่าย และไม่ได้เป็นกุหลาบที่ทรงพลังบ่งบอกความเป็นผู้หญิงที่เริ่ดหรูคลาสสิคนัก เพราะเน้นมาสายน้อยแต่มากเน้นให้รับรู้ได้ว่ากุหลาบก็มีมุมอื่นๆ ที่สดชื่น น่าค้นหา และโรแมนติค โดยมีความทันสมัยควบคู่ไปด้วย จึงเหมาะกับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นมีระดับมากพอที่จะนำเสนอบุคลิกภาพที่เรียบง่ายแต่มีความน่าสนใจชวนค้นหาได้ดีเลยทีเดียว ส่วนการใช้เพื่อออกกำลังกายอันนี้แนะนำใส่มาแล้วทั้งวันค่อยไปออกกำลังกายแบบที่กลิ่นนี้ยังติดตัวจางๆ น่าจะดีกว่า ตลอดจนยามค่ำคืน ก็ใส่ได้สบายมาก ไม่ว่าจะออกงานหรือว่าดินเนอร์โรแมนติค แต่ถ้าใส่ไปเต้นพล่านเมาปลิ้นอันนี้ไม่แนะนำเพราะเสียลุคคนใส่ไม่พอเสียลุคด้านกลิ่นด้านกลิ่นเต็มๆ อีกด้วย 

ความทน - กลิ่นทนได้ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. อาจจะมีลดลงไปที่ 6 ชม. บ้างก็อิงตามจำนวนสเปรย์ที่ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายค่อนไปทางดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาที่กระจายปานกลางไปเรื่อยๆ พอเข้าช่วงท้ายจะเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอเข้าซัก 6 ชม. แล้วจะเริ่มเป็ร Skin Scent แบบยาวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิว 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งในกลิ่นที่กุหลาบที่ทำเอาประทับใจกับการมาแบบไม่หนักหน่วงแต่จับต้องได้ตลอดตั้งแต่ต้นยันจบ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นกุหลาบที่ลงตัว ทันสมัย และน่าค้นหาในความเรียบง่ายได้ดี ซึ่งแม้จะเป็นน้ำหอมผู้หญิงแต่ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงเสน่ห์ที่สื่อสารออกมาผ่านกลิ่นได้ชัดเจนจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - VIP-Parfum.HU --> https://www.vip-parfum.hu/stella-mccartney-stella-eau-de-parfum-holgyeknek-4115 



วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561

Review: Calvin Klein - Truth for Men

Calvin Klein - Truth for Men 

นอกจากสาย CK One, Be, Obsession และ Escape แล้ว เอาเข้าจริง Calvin Klein ไม่ได้เป็นน้ำหอมที่มีดีเพียงแค่นี้ ยังมีอะไรที่น่าสนใจสมกับเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ได้รับความนิยมในสาย Designer ไม่น้อยเลย และหนึ่งในกลิ่นโทนเขียวที่หอมสดชื่นอย่างมีชั้นเชิงอย่าง Truth for Men เองก็ไม่ใช่เล่นๆ เลยทีเดียว เพราะ
 

เปิดตัวกันด้วยกลิ่นอายสดชื่นติดเขียวมีความชะอุ่มออกทางน้ำๆ หน่อย อารมณ์แบบกลิ่นอายพืชเขียวๆ ที่ชุ่มฉ่ำหลังฝนตกในระดับหนึ่งเลย ซึ่งกลิ่นเขียวกึ่งนวลกึ่งฉ่ำแบบนี้หอมลงตัวมากกว่าที่คิดและไม่คมแม้แต่นิดเดียว โดยเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นกลิ่นอายสไตล์โหระพาท่ามกลางความสดชื่นติดชื้นฉ่ำปนเขียวใสสบายๆ เจือโทน Watery ออกทางน้ำๆ เป็นตัวนำเด่นออกมาให้รู้สึกได้ และกลิ่นฉ่ำติดชื้นๆ ทำนองนี้แหละจะเป็นเหมือนกลิ่นหลักที่อยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย โดยที่โหระพาจะให้ความนวลกึ่งปร่าๆ Spicy แบบชอฟต์ๆ เต็มๆ ในช่วงกลาง ไปเรื่อยๆ เนื้อกลิ่นยังคงมีความออกทางชื้นๆ ติดเขียวตามมาผสมผสานอยู่ แต่จะมีความเป็นไม้หอมอ่อนๆ นวลๆ เข้ามาเจือ พร้อมกับมีกลิ่นอายของกระวานมาร่วมวงด้วยแบบกลางๆ กำลังดี ให้กลิ่นมีความกึ่งแน่นกึ่งบางได้ความเย้ายวนกำลังดีนุ่มนวลในโทนเขียวแบบไม่โจ่งแจ้ง ซึ่งกลิ่นจะให้ความเขียวนวลติดเปียกไปเรื่อยๆ จนเมื่อสัมผัสได้ว่ากลิ่นของโหระพาเริ่มจางลงไป ความเป็นโทนออกทางไม้หอมเจือพิมเสนอ้อยอิ่งติดเขียวใสที่ยังพอจับได้ว่าหลงเหลืออยู่เริ่มเด่นขึ้นมา ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นไม้หอมจะออกมาโปร่งสบายติดแมนขรึมๆ แบบไม้ซีดาร์เคล้าเกลอสนิทแบบหอมกึ่งนวลสไตล์ไม้จันทน์หอม ซึ่งจะมีความเขียวบางๆ เจือความหมาดๆ ชื้นๆ ของอากาศกำลังดีไม่พอ ยังมีกลิ่นอายอ้อยอิ่งของพิมเสนที่ให้ความระเรื่อจมูก มีความสะอาดจางๆ ผ่อนคลาย อารมณ์เข้าทางแบบหลังฝนตกในรีสอร์ทติดป่าเขาหรือแนวพื้นที่สีเขียวก็ย่อมได้ไปตลอด โดยภาพรวมกลิ่นเหมือนจะดูธรรมดาแต่จริงๆ ไม่ธรรมดาเพราะการเบลนด์ที่ลงตัวและคุมโทนได้ดี ทำให้กลิ่นไม่ได้เบาไปหรือหนักไป สร้างออร่าแบบสดชื่นกึ่งเขียวนวลชื้นฉ่ำที่มีความแมนในเนื้อกลิ่นตั้งแต่ต้นยันจบได้ลงตัวมาก ยกให้ไปเลยว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวในความเป็น CK แบบที่ยังไงก็ทำให้ชอบได้ไม่ยากไม่พอ ยังมีความดีงามและเอาอยู่ได้ดีเกินคาดจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้นขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นเข้าถึงได้ง่าย ได้ความสดชื่นติดเขียวปนชื้นนวลที่ลงตัวแบบที่ยังไงก็รอด และมหาชนคนได้กลิ่นคนอื่นๆ ไม่ยี้ ซึ่งใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบครอบจักรวาลและกวาดหมดได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ วันอากาศร้อนๆ หรือชิลล์ๆ ทั่วไปก็สามารถ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี หยิบขวดอื่นที่เป็นสายแน่นๆ น่าจะดีกว่า 

ความทน - อยู่ราวๆ 6 ชม. เป็นหลัก แต่มากหรือน้อยกว่านั้นอิงตามจำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด และสภาพผิวกายเป็๋นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กำลังดีเลยทีเดียวกับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นมาสายปลอดภัยพอสมควร การกระจายเลยเปิดตัวที่กระจายปานกลางเสียมาก ไม่ได้เด่นคมพุ่งปล่อยพลังนัก แล้วจะค่อนข้างมีความคงตัวแบบนี้ยาวไปจนถึงปลายๆ ช่วงกลางที่เริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วลดลงเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

ทิ้งท้าย - สมแล้วที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในกลิ่นอายโทนเขียวหอมสดชื่นที่หลายๆ สำนักโหวตให้เป็นหนึ่งในน้ำหอมโทนกลิ่นเขียวที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง ซึ้งแม้ว่าให้ความเขียวปนชื่นฉ่ำนวลๆ เข้าถึงได้ง่ายตามสไตล์ Designer Brand ก็จริง แต่ก็มีความเรียบง่ายสไตล์น้อยแต่มากได้ดีเกินคาด และสุดท้ายกลิ่นนี้หายไปจากหน้าเว็บของ CK แล้ว #เลิกผลิต 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://dycperfumeria.com/wp-content/uploads/2018/01/Agr%C3%A9game-al-carrito..-1.jpg

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

Review: N-Cigale - Pin des Calanques

N-Cigale - Pin des Calanques 

หนึ่ีงในแบรนด์ Niche Perfumerie ของฝรั่งเศสที่มีเอกลักษณ์กับทรงขวดที่แตกต่างและมีความเก๋ไก๋น่าเอามาวางเรียงในตู้ให้ดูสวยงามมากมาย ซึ่ง N-Cigale เปิดตัวแบรนด์เมื่อปี 2010 กับการเป็นแบรนด์ที่เน้นเรื่องการแกะสลัก การประดับตกแต่ง และจิลเวลลี่ ซึ่งก็ได้สร้างไลน์น้ำหอมขึ้นมาในปี 2015 ในการสร้างความสวยงามทางกลิ่นควบคู่ไปกับรูปทรงของขวด เช่นนั้นก็ได้เวลาบอกเล่ากลิ่นกันซักหน่อยว่าจะมาในลักษณะไหน กับรุ่นแรกของแบรนด์ที่มีโอกาสได้ลอง นั่นคือ Pin des Calanques 

แปลกันตรงๆ ตัวจากชื่อรุ่นคือ หมู่สนบนผาหินที่ยื่นออกสู่ทะเล ที่เป็นเสมือนจุดชมวิวทะเลบนหน้าฝา หรือภูเขาจากมุมสูงแบบที่หลายๆ คนน่าจะนึกถึงได้ไม่ยากว่ามันสวยงามและรู้สึกสบายใจขนาดไหน ซึ่ง Pin des Calanques ได้ถอดกลิ่นอายสภาพแวดล้อมออกมาในลักษณะนี้เลย 

เปิดต้นกลิ่นด้วยกลิ่นของไม้สนไพน์ที่ให้ความรู้สึกแบบไม้ปนยางไม้โปร่งๆ อะโรม่า โดยมีกลิ่นโทน Spicy จางๆ ปนเขียวเจือความเป็นกลิ่นอายแบบการบูร ซึ่งจะมีความสดชื่นติดปร่าให้สัมผัสได้ด้วย รวมถึงเนื้อกลิ่นก็มีโทน Citrus เสริมบางๆ เป็นสายสนับสนุนเลยให้ความรู้สึกแนวๆ บรรยากาศมากกว่าที่จะสดชื่นจ๋าๆ กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึกสะอาดแบบไม้หอมโปร่งๆ สร้างความรื่นรมย์ได้ลงตัวมาก จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นเสริมเข้ามาเรื่อยๆ แบบเบาๆ อารมณ์แบบแสงแดดสบายๆ อบอุ่นกลั้วความสดชื่น ก็เป็นการเดินทางเข้าสู่ช่วงกลางทีละนิดๆ และเต็มตัวเมื่อมีกลิ่นอายของดอกไอริสที่ให้ความเป็นโทนแป้งที่กำลังดี ไม่หนักเกินไป กลิ่นมีความโปร่งเพราะมีโทนแป้งนวลโปร่งเสริมอย่างดอกไวโอเล็ตเข้ามาสมทบ ทำให้ช่วงกลางนี้จะเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความเป็นกลิ่นอายไม้หอมสนไพน์ที่สะอาดและมีความนุ่มออกทางโทนกลิ่น Musky นุ่มๆ รองพื้นเคล้ากลิ่นแป้งติดจืดอับบางๆ ที่ให้ความดึงดูดเบาๆ กลิ่นยังคงคุมโทนความผ่อนคลายสบายๆ อบอุ่นแบบอากาศดีๆ (ไม่ได้ร้อนจนเหงื่อโทรมแบบอากาศเมืองไทย) ลากยาวไปจนถึงช่วงท้าย ที่กลิ่นในช่วงกลางจะเริ่มลดทอนลงมาให้ความสบายๆ แบบเคล้าผิวกายหน่อยๆ กลิ่นจะยังคุมโทนความเป็นไม้หอมโดยที่ยังมีความเป้นสนไพน์และแป้งไอริสอยู่เบาๆ แต่เสริมด้วยกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ติดโทน Earthy ดินบางๆ ของหญ้าแฝกปนหวานอ้อยอิ่งเบาๆ ของพิมเสนเข้ามาด้วย และยังมีกลิ่นอายติดอากาศเค็มอ่อนๆ แบบริมทะเลเคล้ากลิ่นอายผิวกายสะอาดอบอุ่นแบบต้องแสงแดดนวลๆ ไปตลอดเป็นตัวรองพื้นอยู่ กลิ่นเลยจะยังคง Concept ชัดเจนแบบสบายๆ ที่ไม่ได้จัดจ้านหรือหวือหวา ไล่เรียงกลิ่นอายจากกลิ่นสดชื่นไม้หอมยามมาถึงจุดชมวิว ตามด้วยกลิ่นอายอากาศดีๆ ของแป้งเจือไม้หอมอบอุ่นแบบพักผ่อนดูวิวไปเรื่อยๆ จนปิดท้ายที่ยามแดดคล้อยต่ำที่กลิ่นเริ่มผ่อนคลายลงก่อนเข้าสู่ยามเย็น 

เหมาะสำหรับ - ได้หมดทุกเพศ กลิ่นมาสายบรรยากาศเป็นหลักและมีความผ่อนคลายสบายๆ เป็นสำคัญ ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ครอบจักรวาลกวาดหมดเต็มๆ แม้กระทั่งใส่ออกกำลังกายก็ยังได้เพราะกลิ่นไม่ได้เน้นแบบหนักหน่วงอยู่แล้ว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อความผ่อนคลายสบายๆ กับกลิ่นไม้สนไพน์หอมๆ หรือใส่แบบสบายๆ จะดีที่สุด ส่วนการใส่เพื่อท่องราตรีตัดทิ้งไปได้เลย 

ความทน - ราวๆ 6 ชม. โดยเฉลี่ย ซึ่งก็อิงตามจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเรียกว่าทำให้รู้สึกสดชื่นติดไม้หอมได้เลย แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวสบายๆ ไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เอาเข้าถึงไม่ได้หวือหวาถ้าเทียบกับขวด แต่สิ่งที่ดีคือ กลิ่นอายบรรยากาศแบบนี้มันทำให้รื่นรมย์และผ่อนคลายเน้นที่ความเป็นไม้หอมเคล้าแป้งอ่อนๆ นี่แหละ ที่เอาอยู่ได้สบายๆ ตลอดจนจับเอากลิ่นนี้ไปอยู่ในกลุ่มน้ำหอม Niche ใช้ง่ายได้ไม่ยาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - N-Cigale Website
--> https://www.n-cigale.com/product-page/pin-des-calanques



วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2561

Review: Zoologist - Nightingale

Zoologist - Nightingale

ถ้าว่ากันถึงนกที่ร้องเพลงได้ไพเราะมากที่สุดในโลก คงจะหนีไม่พ้นนกไนติงเกล (ตัวผู้) ซึ่งการร้องเพลงของนกไนติงเกลตัวผู้ที่ร้องเพลงเพื่อเกี้ยวตัวเมีย ถ้าใครก็ตามในแถบยุโรปได้ยินเสียงนกชนิดนี้ร้องเพลง (เสียงแบบนกร้องนะ ไม่ใช่เป็นเสียง Sam Smith) ก็จะรู้ได้ทันทีว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว จบเรื่องนกมาต่อกันที่เรื่องของน้ำหอม เพราะเมื่อแบรนด์ Zoologist ได้เอาควา
มเป็นไนติงเกลมาถ่ายทอดออกมาเป็นน้ำหอมแล้วกลิ่นจะเป็นลักษณะไหนและถ่ายทอดออกมาอย่างไร ผลที่ออกมาคือ 

แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดสไตล์ญี่ปุ่นของ Ohara Koson ที่ชื่อว่า Nightingales on Plum Blossoms ที่สวยงามมาก ซึ่งภาพวาดจะเป็นนกไนติงเกล 2 ตัวเกาะบนกิ่งต้นพลัมที่มีดอกบานสวยงามทำให้รู้สึกรื่นรมย์และอิ่มเอมไปกับการถ่ายทอดธรรมชาติสู่ภาพวาดได้เป็นอย่างดี โดยที่สุคนธกรผู้ปรุงเองก็เป็นคนญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน เลยเป็นการจับ Match เข้าธีมเพื่อให้มีลักษณะแบบญี่ปุ่นและมีความกรุยกรายแบบ Logo ที่เป็นนกไนติงเกลใส่กิโมโนสไตล์เกอิชานั่นเอง 

Nightingale เปิดตัวด้วยกลิ่นอายของความเป็น Vintage ที่ชัดเจนมาเลย มีความเป็นโทน Chypre ที่หรูหรามีระดับและกรุยกรายกำลังดีโดยจะมีกลิ่นของ Oakmoss พิมเสน มะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และยางไม้ Labdanum ที่เป็นโทนกลิ่นยืนพื้นกระจายไปตามแต่ละช่วงและรับช่วงต่อกันคุมโทนไปตลอด โดยที่ช่วงต้นความเป็นโทน Chypre จะค่อนข้างชัดเพราะกลิ่นจะมาเต็มแน่นพอสมควรแบบลักษณะรองพื้นให้กลิ่นแน่นๆ พุ่งๆ หน่อย แต่กลิ่นที่เด่นขึ้นมาให้รับรู้ได้คือ ดอกพลัมที่ให้ความเป็นโทนผลไม้ดึงดูดสไตล์ลูกพลัมแต่เบากว่าเพราะมีกลิ่นนวลดอกไม้ติดฉ่ำเคล้ากับกลิ่นของมะกรูดฝรั่งที่ให้ความเป็น Citrus แบบแห้งๆ ติดขมไม่ได้มาสายเปรี้ยวจี๊ดนัก และมีตัวสร้างมิติให้กลิ่นมีความเย้ายวนลักษณะแบบขมปนหวานเจือกลิ่นแน่นไพล่ไปทางโทนหนังให้ความเป็นเครื่องเทศอย่างหญ้าฝรั่น ทำให้ช่วงต้นจะเต็มแน่นโดดเด่นออกท่ามกลางความเป็นกลิ่นอายแบบ Vintage Chypre ที่มีความเป็นญี่ปุ่นให้รู้สึกได้ในเนื้อกลิ่นไม่น้อยเลย

เพียงไม่นานกลิ่นอายจะเริ่มมีความเป็นโทนแป้งเข้ามาเสริมในเนื้อกลิ่นมากขึ้น แต่มาแบบแป้งเจือหวานโปร่งของดอกไวโอเล็ต และจับได้ถึงกลิ่นของโทนแป้งแบบไอริสเคล้ากลิ่นกุหลาบแบบนวลๆ เย้ายวนเข้ามาเสริมทัพที่เด่นพอสมควร โดยที่จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสว่างๆ แบบโทนแป้งหอมเคล้าความเป็นกลิ่นอายติดผลไม้และดอกไม้ที่ตามมาจากช่วงต้น เป็นตัว On Top ที่ลอยออกมาให้รับรู้ แต่พอดมใกล้ๆ จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นติดเค็มหน่อยๆ แบบผิวกายเจือโทน Incense โปร่งสว่างของ Frankincense ที่คุมโทนสนับสนุนกลิ่นอายให้มีความอวลอยู่ เนื้อกลิ่นแอบมีความดาร์กน่าค้นหาพอสมควรจากกลิ่นอายของพิมเสนผสมผสานกับยางไม้ที่ให้ความเข้มเจือโทนหนังติดกลิ่นไม้อบอุ่นของ Labdanum ซึ่งยังชัดเจนกับการคุม Concept ของการเป็นโทน Chypre ที่มีความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นกรุยกรายอยู่ตลอด และจะค่อยๆ ปล่อยของออกมาทีละนิดๆ จนครบถ้วนด้วยซ้ำเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว 

เมื่อถึงช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงท้าย ความเป็นแป้งหอมโปร่งกุหลาบจะยังคงชัดเจนอยู่ โดยที่จะมีกลิ่นอายของ Musk กับกลิ่นอายเคล้าผิวกายออกติดเค็มบางๆ เข้ามาทำให้กลิ่นนวลอวลคุมโทนสว่างได้อยู่ แต่จะสนับสนุนโดยความกรุยกรายหรูหรากำลังดีของโทน Chypre ที่จะเปิดตัวออกมาชัดขึ้นมากกว่าช่วงอื่นๆ คือ Oakmoss ที่ให้ความดาร์กติดขมปนเขียวแห้งๆ เจือเมทัลลิคจางๆ สนับสนุนด้วยกลิ่นอายของลักษณะแบบแน่นเข้าโทนหนังกลายๆ อบอุ่นหน่อยๆ ของยางไม้ Labdanum และมีกลิ่นพิมเสนอ้อยอิ่งเบาๆ ให้รับรู้ ซึ่งก็ยังไม่พอ กลิ่นจะมีความเป็นโทนตะวันออกกลางเจือดึงดูดหน่อยๆ เข้ามาทำให้กลิ่นมีความเย้ายวนดึงดูดมากขึ้นด้วยจาก Oud ที่เริ่มจับได้ในช่วงนี้แบบเบาๆ สร้างความลึกลับน่าค้นหาในกลิ่นได้ดีมากด้วยเช่นกัน ซึ่งช่วงท้ายถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ทำให้เห็นว่าแบ่งภาคการเป็นโทนสว่างและลึกลับน่าค้นหาสร้างมิติให้เห็นเลเยอร์ซ้อนกันได้อย่างน่าสนใจมาก ซึ่งก็เข้าทางกับความรู้สึกยามที่ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้เลยว่านี่คือ เกอิชาที่กรุยกรายมีระดับและน่าค้นหาในกิโมโนสีม่วงปนแดงดอกพลัมนี่แหละ Nightingale ของ Zoologist 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นระบุว่าเป็น Unisex แต่ค่อนข้างไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่าราวๆ 70% ซึ่งเข้าได้กับวัยทำงานขึ้นไป และอย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมกลิ่นอาย Vintage มาบ้างจะเข้าถึงตัวนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปแบบที่จำกัดสเปรย์ไม่งั้นกลิ่นจะอบอวลรอบตัวจนอาจจะทำให้อึดอัดทั้งคนใส่และคนรอบข้างเอาได้ เพราะกลิ่นนี้เวลาใส่พอดีๆ กลิ่นงามไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและการออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางและหนักไป ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าใส่ออกงานได้ลงตัวมากไม่พอ ใส่ท่องราตรีก็ถือว่าแหวกขนบไปพอสมควรแต่เก๋ปนสวยน่าค้นหาไม่น้อยเช่นกัน 

ความทน - ยกดาวให้ทั้งฟ้าไปเลยดีกว่า ทนมากกกกกกกกก เรียกว่า 15 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นตลอดเลยไม่มีลดราวาศอกจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลางแบบคงตัวเสถียรไปตลอด พอผ่านไปซัก 8 ชม. ถึงลดลงมาปานกลางแบบปล่อยออร่ากลิ่นแป้งหอมเคล้าความน่าสนหางามๆ ไปตลอด พ้น 10 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - คนที่คาดหวังถึงกลิ่นอายที่สวยงามปานเสียงอันไพเราะของนกไนติงเกล หรือคาดหวังกลิ่นอายธรรมชาติจากสภาพแวดล้อมจริงๆ ที่นกเหล่านี้อยู่อาจจะเฟล แต่ถ้ามองว่าเป็นกลิ่นอายโทนแป้งหอมดอกไม้เจือความ Vintage ที่บอกถึงความเป็นญี่ปุ่นก็ได้ ความกรุยกรายมีระดับก็ดี และความสว่างปนน่าค้นหาก็เหมาะ ถือว่าไนติงเกลตัวนี้ทำได้ดีและมีอะไรที่น่าสนใจไม่ต่างอะไรกับภาพ Nightingales on Plum Blossoms ได้เลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Zoologist Website --> https://www.zoologistperfumes.com/products/nightingale



วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Review: Ormonde Jayne - Isfarkand

Ormonde Jayne - Isfarkand 

เมื่อแรงบันดาลใจที่มาจากดินแดนของตะวันออกกลางแทนที่จะเด่นกับความเป็นโทนไม้หอมกับยางไม้ กับกลายเป็นการบ่งบอกถึงความเป็น Citrus และเครื่องเทศโทนสดชื่นติดเผ็ดอย่างพริกไทยจากแบรนด์ Ormonde Jayne แบรนด์ Niche สายน้อยแต่มากจากอังกฤษ ที่สร้างสรรค์น้ำหอมรุ่น Isfahan ขึ้นมา (เป็นชื่อเมืองทางประวัติศาสตร์ของอิหร่าน) แต่ภายหลังได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อรุ่นเป็น
Isfarkand ซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะไหนในมุมมองของแบรนดฺ์นี้ ก็ได้เวลาพิสูจน์แล้ว

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีความเป็นมินิมัลได้ลงตัวในความเป็นโทนสดชื่นเด่นนำจากการเป็น 3 ประสาน คือ โทน Citrus, Fresh Spicy และ Woody ไม้หอม ซึ่งกลิ่นจะออกแนวค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้เน้นหวือหวาหรือพีคอะไร แต่คง Concept น้อยแต่มาก รอดและมีระดับทุกสถานการณ์ได้ชัดเจน โดยเริ่มที่การเปิดตัวแรกฉีดกับความเป็นโทน Citrus ที่ไม่ถึงกับจี๊ดจนดูประดิษฐ์เกินกว่าเหตุนักกับกลิ่นมะนาวที่ได้ความรู้สึกเปรี้ยวสดชื่นผ่านกลิ่นออกมาเต็มๆ เด่นสุดกว่าใคร แต่ในความเปรี้ยวที่สัมผัสได้จะเจือขมปนซ่าๆ จากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และกลิ่นแปร่งคล้ายเปลือกส้มบางๆ ที่มีความอะโรม่าหน่อยๆ ผสมผสานอยู่ด้วยตลอดเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่ทำให้กลิ่นไม่ได้ไปสายคมๆ มากเกินไป ให้มีความผ่อนคลายมากขึ้นต้องยกให้กลิ่นอายของพริกไทยสีชมพูที่จะไม่ได้ไปสายเผ็ดสะอาดแบบพริกไทยดำ แต่จะออกมาเผ็ดนุ่มไพล่ไปทางติดเจือดอกไม้บางๆ และมีกลิ่นอายสไตล์ไม้ซีดาร์ที่ทำให้กลิ่นมีโทนไม้หอมอะโรม่าโปร่งสบายมาเป็นฉากหลังให้กลิ่นมีความรื่นรมย์ปนสว่างและสะอาด แค่เพียงช่วงต้นก็คุมโทนความสดชื่นเรียบหรูได้ชัดเจนมากเลยทีเดียว 

และกลิ่นของโทนพริกไทยสีชมพูกับไม้ซีดาร์จะเริ่มกลายเป็นโทนกลิ่นหลักแทนในช่วงกลางซึ่งจะเริ่มสัมผัสได้มากขึ้นว่ากลิ่นทำให้นึกถึง Hermes - Terre d’Hermes แบบที่ไม่มีกลิ่นส้มติดเขียวขมนักและกลิ่นจะนุ่มกว่า ในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นของความเป็นมะนาวแบบสดชื่นเบาๆ กำลังดีเจือไปตลอดกับการเป็นไม้หอมโปร่งติดเครื่องเทศที่ออกทางเผ็ดนวลอะโรม่า เรียกว่ากลิ่นมีความเป็นสาย Soft มากกว่าจะเป็นสายพุ่ง และจะเริ่มจับได้เรื่อยๆ ว่ามีกลิ่นอายของหญ้าแฝกที่มาสายไม้หอมแห้งๆ มีกลิ่นติดโทนดินๆ จางๆ เปิดตัวขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งก็ปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่เริ่มชัดเจนถึงการเป็นโทนไม้หอมนวลโปร่งๆ ความสดชื่นของโทน Citrus จะเบาลงไปเป็นเนื้อเดียวกันกับไม้หอมให้กลิ่นมีความโปร่งสะอาดนุ่มนวลติดแห้งๆ กำลังดี แอบมีกลิ่นโทนคล้ายพิมเสนอ้อยอิ่งบางๆ ที่เสริมให้กลิ่นมีความเรียบหรูสะอาดๆ มีกลิ่นนุ่มละมุนจางๆ เจือไปตลอด ซึ่งภาพรวมได้อารมณ์ออกแนวอะโรม่าผ่อนคลายปนความสดชื่นนวลระเรื่อจมูก มีความน้อยแต่มากใช้ง่ายอย่างไม่ไก่กานั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ระบุไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้ชายแต่จริงๆ มีความ Unisex ที่แตะทุกเพศได้ในระดับหนึ่งเลย เช่นนั้นไม่ว่าเพศไหนก็ใช้ได้สบายมาก เหมาะกับวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ซึ่งกลิ่นเข้าถึงได้ง่ายเรียบหรู และมหาชนที่ได้กลิ่นมักไม่ยี้ จึงเข้าทางกับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดทั้งทางการและทั่วไป ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าใส่เพื่อสร้างความสดชื่นหอมมีระดับแบบสบายๆ น่าจะดีกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรีกะหาเหยื่อ โดนกลบแน่นอน

ความทน - กลิ่นทนอยู่ระหว่าง 6 -8 ชม. และสามารถไปได้มากกว่านั้น อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวจัดไปที่ 6 สเปรย์ ไปได้ที่ราวๆ 8 ชม.แต่พอลองเพิ่มสเปรย์ในครั้งต่อๆ มาเป็น 7 สเปรย์ เรียกว่าทนดีเกินคาดกับราวๆ10 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นจะกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป เรียกว่ามีความปลอดภัยในเรื่องนี้เต็มๆ พอพ้นไปซัก 6 ชม. ถึงได้เป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - ถ้าจับความเชื่อมโยงกับความเป็น Isfahan ก็น่าจะได้อารมณ์ของการที่ชาวตะวันตกไปพักผ่อนตากอากาศยามเช้าที่สดชื่นกำลังดีที่เมืองนี้ แล้วได้มุมมองสไตล์เรียบง่ายแต่มีระดับจะน่าจะพอไปวัดไปวาได้อยู่ แต่ถ้าไม่จับเรื่องความเชื่อมโยงเรื่องที่มาที่ไป กลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งกลิ่นอายที่มีความน้อยแต่มากและมีความสุภาพที่ดีมากอีกกลิ่นหนึ่งเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Harrods Website


 --> https://www.harrods.com/en-gb/ormonde-jayne/isfarkand-cologne-p000000000002068863