วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Gendarme - Grabazzi

Gendarme - Grabazzi 

เพราะเรื่องของน้ำหอมกลิ่น Safe Scent หรือกลิ่นปลอดภัยเน้นที่ความสะอาดเป็นพื้นฐานนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยท่ามกลางความ Sensitive ทางจมูกของผู้คน เช่นนั้นจึงได้กลับมาหาแบรนด์ที่เน้นทำกลิ่นสะอาดและมีความปลอดภัยสูงทางด้านรับกลิ่นอย่าง Gendarme อีกครั้ง เพราะเมื่อเห็น Notes แล้ว มีกลิ่น Coca-Cola เป็นตัวเด่น ซึ่งก็สนใจอยากรู้ว่าจะให้ความรู้สึกสะอาดในลักษณะไหน และกลิ่นโค้
กของแบรนด์นี้จะทำออกมาอย่างไร เช่นนั้นก็ว่ากันที่รุ่นนี้ได้เลย Grabazzi 

เปิดตัวกันด้วย 3 ชั้นกลิ่นที่ผสมผสานและจับต้องได้เป็นสเต็ป เพียงแต่จะผสมผสานกันออกมาในความเป็น Cherry Cola เพราะจะออกแนวลักษณะซ่าๆ สดชื่นปนหอมกลิ่นโค้กเจือหวานเชอร์รี่กันก่อนเลย ซึ่งถ้าแยกลงไปในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็น Fruity ผสมกับความเป็นโทน Citrus แนวๆ มะนาวเด่นที่ให้ความสดชื่นวูบแรกก่อนจะมาแบบโทน Airy ที่จะบางลงไปแต่ยังรู้สึกได้อ่อนๆ ว่ามีอยู่ แต่มีความหอมแบบเปลือกเลมอนปนขมแห้งมะกรูดอยู่เบาๆ เสริมให้ความ Citrus เป็นตัวสร้างความสดชื่นเคล้าไปกับกลิ่นโทนโคล่าที่มีความหวานแน่นอวลกำลังดี รองพื้นกลิ่นด้วยโทน Fresh Spicy ที่เป็นกานพลูและเม็ดผักชีกับความปร่าซ่าที่ชัดเจน แต่มีพื้นความสะอาดสไตล์ที่ให้ความปร่านวลไปตลอดรองพื้น ซึ่งในช่วงนี้ความเป็นกลิ่นอายแบบน้ำอัดลมสีดำถือว่าชัดเจนพอสมควรเลยทีเดียว ถ้าจะบอกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่นำเสนอความเป็นโทน Coca Cola ได้ดีก็ถือว่า ใช่ได้เลย 

แต่ในลักษณะของความเป็นกลิ่นอายแบบโคล่าที่ได้รับในช่วงต้น จะมีโทนกลิ่นอายแบบ Floral ออกทางแน่นสะอาด มีความเป็นโทนน้ำหอมยุค 90 ที่ยังมีโทนอวลแน่นค่อยๆ แทรกขึ้นมาค่อนข้างไวพอสมควร และจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง เพราะความเป็นกลิ่นอายโคล่าจะเริ่มลดลงไปเป็นสายสนับสนุนอ้อยอิ่งคลอไปเรื่อยๆ โดยให้กลิ่นอายโทนสะอาดติดปร่าแน่นอวลแบบค่อนไปทางโทนสบู่เป็นตัวเด่นนำ ซึ่งกลิ่นที่เป็นฐานเลยจะเป็นไลแลคและลาเวนเดอร์ที่ให้ความนวลเจือหวานสะอาด แต่จะอวลเจือความ Spicy ติดเขียวอ่อนนวลๆ ของคาร์เนชั่นและโทนกานพลูที่ตามมาตั้งแต่ช่วงต้น รวมถึงจับต้องได้ถึงกลิ่นอายคล้ายโทน Aldehydes ที่ให้ความเป็นสบู่เจืออยู่ด้วยในเนื้อกลิ่นซึ่งผสมผสานกันออกมาจะได้ความเป็นสบู่สะอาดแบบแน่นกำลังดี ให้ความสะอาดแบบชัดๆ อวลๆ หน่อยๆ และมีความอบอุ่นประปรายในกลิ่นจากโทนยางไม้แนวๆ ติด Smoky นุ่มๆ หวานปนขมอุ่นหน่อยๆ ของ Myrrh ที่ชัดเจนพอสมควร เพียงแต่ไม่ได้กลายเป็นโทนยางไม้จัดๆ นัก เพราะโทนสบู่ดอกไม้สะอาดๆ เจือกลิ่นโคล่า คุมธีมของโทนกลิ่นสะอาดที่เป็นลายเซ็นของแบรนด์ชัดเจน และมีความติดโทนสะอาดแน่นๆ แบบ Classic เจืออยู่ไปตลอด จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความนวลออกทางโทน Musky สะอาดๆ มากขึ้น ก็เริ่มเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นโทนโคล่าจะหายไปแล้ว โดยจะมีความเป็นลักษณะนวลสะอาดของ Musk ที่เด่นชัดขึ้นมาและมีกลิ่นติดโทนหนังอ่อนๆ ให้มิติดึงดูดเคล้ากลิ่นสบู่ติดแน่นอยู่ก็จริง แต่จะลดความแน่นลงมาพอสมควร โดยที่ยังมีโทน Spicy ที่ติดปร่าเคล้าโทนอุ่นๆ ติดหวานปลายเจือในกลิ่นอยู่ เลยจะได้มิติของความสะอาดเจือน่าค้นหาปนความ Classic ที่มีมิติติดดาร์กเบาๆ เนียนๆ ไปเรื่อยๆ แบบที่คุมโทนสะอาดเข้าถึงได้ง่ายและไม่เน้นทำร้ายใครทางกลิ่นตาม Concept แบรนด์ได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นเป็นโทนสะอาดติดแน่นแต่ไม่ได้ทำร้ายใคร เพราะมันสะอาดเป็นที่ตั้ง เคล้าความ Classic ในกลิ่นปนกลิ่นโคล่าที่ดึงดูดความสนใจได้ไม่ยาก ซึ่งใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมด โดยจะให้ออร่าความสะอาดอวลๆ กำลังดีไปตลอด ส่วนรยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีกว่าใส่ไปท่องราตรี เพราะกลิ่นแบบนี้เน้นปลอดภัยไว้ก่อน เลยไม่เน้นการไปสู้ปล่อยเสน่ห์แข่งกับชาวบ้านที่ประโคมกันมานัก

ความทน - เป็น Eau de Cologne ที่ความทนเป็นเลิศและเกินคาดมาก เพราะความทนลากไปที่ 10 ชม. ไปสบายมาก กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ เรียกว่าดีงามจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงแรก มีความชัดเจนถึงลักษณะการเป็นโทนโคล่าติดกลิ่นฟรุตตี้เชอร์รี่ แล้วจะลดลงมาเป็นออร่าอวลๆ สะอาดแน่นๆ ไปตลอดตั้งแต่ช่วงกลางยันช่วงท้าย พอพ้นซัก 6 ชม. กลิ่นจะค่อยๆ เบาลงไปเรื่อยๆ แต่ยังให้ความรู้สึกสะอาดติดอวลอยู่จนกลายเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไป 8 ชม. แล้ว 

ทิ้งท้าย - กลิ่นอาจจะดูไม่หวือหวาและมีความทั่วๆ ไปในแง่ของโทนสะอาดติดสบู่ แต่ก็ถือว่าเป็นกลิ่นที่มีความปลอดภัยในความเป็นโทนกลิ่นสะอาดเข้าถึงง่ายที่ชัดเจนแบบปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นแบบนี้ไม่รบกวนใคร โดยที่ยังมีความ Classic กึ่งร่วมสมัยให้จับต้องได้ตามสไตล์น้ำหอมยุค 90 ได้อย่างลงตัว แถมให้โทนกลิ่นโคล่าที่สร้างความแตกต่างแบบไม่หนักหน่วงมากนัก จึงไม่แปลกใจที่กลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งในตัว Top ของ Gendarme มาเสมอ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://br.pinterest.com/pin/447123069235311986/



วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Cafe de Parfum - Ashura

Cafe de Parfum - Ashura 

ว่ากันด้วยเรื่องของขนมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง Noah’s Pudding หรือที่พี่น้องชาวมุสลิมจะรู้จักกันดีอย่าง ขนมอาซูรอที่มีที่มาจากพระธรรมปฐมกาลว่าด้วยเรื่องน้ำท่วมโลกและเรือโนอาห์ที่ทำให้ครอบครัวของโนอาห์รอดมาได้พร้อมกับสัตว์พันธุ์ต่างๆ ที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วเรือโนอาห์ไปล่องได้มาถึงภูเขาอารารัตแล้วติดค้างอยู่ที่นั่นจนน้ำเริ่มแห้งลงพร้อมกับเสบียงอาหารที่มีไม่มา
ก เช่น ธัญพืช ผลไม้ทั้งสดและแห้ง ถั่ว เผือก และมันต่างๆ มากวนเข้าด้วยกันจนคล้ายขนมเปียกปูน ซึ่งเป็นอาหารแห่งการเฉลิมฉลองในการมีชีวิตอยู่ จนสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ 

และเมื่อ Cafe de Parfum ได้นำเอาความเป็นขนมอาซูรอ มาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นอายน้ำหอมหนึ่งใน Collection แรกของแบรนด์ ซึ่งล้อเข้าพิธีอาชูร่าหรือวันอาซูรอที่เป็นการเข้าสู่เดือนแรกของปฏิทินอาหรับนั้น กลิ่นอายจะมาในลักษณะไหนก็บอกเล่ากันออกมาได้ตามนี้เลย 

เปิดต้นกลิ่นด้วยความชัดเจนของแต่ละโทนกลิ่นที่จะพร้อมใจกันแสดงให้เห็นถึงความ Unique ที่แปลกและแตกต่างของกลิ่นกันก่อนเลย โดยจะจับต้องได้ชัดเจนถึงกลิ่นโทนติดเมทัลลิคกึ่งผลไม้วูบแรก มีความเขียวติดขมเจือ Milky อวลๆ หน่อยๆ ซึ่งน่าจะมาจากลูกมะเดื่อฝรั่ง (Fig) พร้อมกับกลิ่นแนวถั่วหรือแป้งถั่วที่มีความเขียวอวลแน่นลึกเสริมเข้ามา กับมีกลิ่นยาสูบให้ความเป็นโทน Aromatic แบบหวานอ่อนติดสมุนไพรแห้งๆ ซ้อนด้วยพริกไทยแบบคมๆ ชัดๆ ปร่าเผ็ดพุ่งมาเคล้าเผ็ดหอมลึกของกระวาน เพราะสิ่งที่ตามมาติดๆ เป็นสายรองพื้นคือโทนไม้หอมที่เด่นด้วยกลิ่นไม้สนไพน์ที่ปร่านวลเจือหวานสะอาดกับโปร่งขรึมของไม้ซีดาร์ เรียกว่าช่วงต้น จะได้อารมณ์และความรู้สึกเหมือนนักแสดงนำของกลิ่นแทบทุกโทนจะมาแนะนำตัวให้เราได้สัมผัสได้รู้จักอย่างใกล้ชิด โดยจะทำให้เราได้สัมผัสความแปลกใหม่ของมิติกลิ่นที่ไล่เรียงจากฟรุตตี้ติดเขียว ถั่วอวลเขียว อะโรม่าเจือหวานแห้งยาสูบ ความคมของโทน Fresh Spicy ที่ฟุ้งกระจาย และความขรึมปนสะอาดเจือหวานเนียนๆ ที่ต่อเนื่องและติดๆ กันได้เลยทีเดียว ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ตอบได้ชัดเจนตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกลิ่นได้เลยว่า กระทำความ Niche” กันอย่างชัดเจน และสิ่งที่ทำให้รู้สึกได้อย่างต่อเนื่องคือ การสื่อสารถึงขนมอาซูรอแบบทางโซนๆ แถวตุรกีที่เป็นการนำเอาเครื่องเทศ ถั่ว ผลไม้สดและแห้งต่างๆ มาผสมผสานแล้วกวนกับแป้งเข้าด้วยกัน อันนี้ตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจน 

ซึ่งเมื่อแต่ละโทนได้แนะนำตัวเราเรียบร้อยแล้ว กลิ่นจะเริ่มเข้าสู่ช่วงที่ผสมผสานและลดหลั่นบทบาทหน้าที่ของตัวเองกันได้อย่างลงตัว โดยที่กลิ่นอายของโทนไม้หอมจะกลายเป็นตัวเด่น นำโดยกลิ่นไม้ที่โปร่งแต่มีความขรึมของซีดาร์ เคล้ากลิ่นสะอาดเจือปร่าหวานติดเขียวปลายของสนไพน์ที่มีกลิ่นอ้อยอิ่งน่าค้นหาติด Smoky แบบกำลังดี และรู้สึกว่าจะมีโทนติดแป้งอับหน่อยๆ คลอไปกับโทนถั่วที่ยังคงติดอวลเคล้าความเขียวติดขมเจือหวานปลายอ่อนๆ ของ Fig ที่ยังตามมาอยู่ ซึ่งจะมีตัวเสริมให้กลิ่นมีความลุ่มลึกหวานติดสมุนไพรแห้งของยาสูบเคล้าความปร่านวลไปตลอดอย่างโทน Fresh Spicy ติดโทนไม้หอมออกทางนุ่มของเม็ดจันทน์เทศและกระวานที่ให้ความเผ็ดดึงดูดเจือหวานลึก ซึ่งจะให้เลเยอร์การดมกลิ่นที่ผสมผสานกันจากจากไม้หอมเผ็ดนุ่มเจือเขียวปนถั่วอวลไล่ไปสู่ความหวานปลายกลิ่นให้ความรื่นรมย์ของยาสูบอย่างน่าสนใจมาก เพราะกลิ่นมีความแปลกแต่ดึงดูดในความขรึม อวล มีความ Cool และไม่เหมือนใคร รวมถึงกลิ่นสอดรับกันได้อย่างมีเสน่ห์ไปตลอดจนถึงช่วงท้าย ซึ่งโทน Smoky กับ Spicy เผ็ดต่างๆ จะลดทอนลงไปเหลือเบาบาง ให้ตัวเอก 3 โทนอย่างไม้หอมที่จะเด่นด้วยโทนไม้ซีดาร์ให้ความโปร่งขรึม และมีลักษณะออกทาง Earthy แห้งๆ ผสมผสานไปกับโทนถั่วออกทางอัลมอนด์ที่ออกขมปนความเขียวเบาๆ กำลังดีเป็นพื้นกลิ่นสนับสนุนความโปร่งเจือหวานของยาสูบไปเรื่อยๆ จนให้ความรู้สึกแบบกลิ่นไม้หอมติดหวานปลาย เจือถั่วติดขมอ่อนๆ ที่มีชั้นเชิงคลอกับผิว มีความสบายๆ ในเนื้อกลิ่นท่ามกลางความขรึมได้อย่างลงตัวและมีสไตล์มากจริงๆ 

ภาพที่เห็นเชื่อมโยงกับน้ำหอม - ผู้ชาย/ผู้หญิงที่มีความนิ่งขรึมเงียบๆ มีความอาร์ต อินดี้ และ Unique เหมือนเข้าถึงได้ยาก แต่แอบดูผ่อนคลายในมุมเงียบๆ ของ Cafe กับขนมที่วางตรงหน้าอย่าง โนอาห์พุดดิ้งที่ดูเรียบง่ายแต่มากด้วยที่มาของส่วนผสม

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น เพราะกลิ่นออกทางมีความเฉพาะ แปลกเก๋ มีสไตล์ที่ชัดเจนยืนพื้นที่โทนขรึมแต่มีพลัง ซึ่งกลิ่นอาจจะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อยเพราะความเป็นโทนปร่าพริกไทยค่อนข้างมาชัดพอสมควร แต่ถ้าผู้หญิงที่ต้องการความแตกต่างก็สามารถจัดตัวนี้ได้ เพราะจะดูน่าค้นหาเสียด้วย ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นชัดพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นใส่ทั่วๆ ไปทั้งทำงาน Office หรือผ่อนคลายแบบเงียบๆ เอาจริงๆ ใส่ออกงานทางการได้ เจอผู้คนได้ แต่อาจจะต้องคำนึงประเภทของงานหน่อย เพราะกลิ่นค่อนข้าง Unique และอาร์ต ถ้างานที่ต้องการความ Nice มากๆ อาจจะไม่ได้เอื้อนัก แต่ถ้าต้องการความนิ่งสุขุมละก็ เข้าทางมากเลยทีเดียว (แต่จำกัดสเปรย์แบบพอดีๆ) แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืน ถือว่าเป็นอีกตัวที่สร้างความแตกต่างและมีสไตล์ที่น่าค้นหาและลึกลับแบบที่ไม่เหมือนใครได้เลย 

ความทน - กลิ่นทนดีงาม กับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และมากกว่านั้นได้สบายมาก ส่วนเจอเจอที่ 12 ชม. สบายๆ กับการใช้งานที่ 5 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าโทนพริกไทยมาชัดเจนเคล้ากลิ่น Fig กับโทนถั่วอัลมอนด์ เจือเมทัลลิคติดฟรุตตี้ผลไม้กันได้ชัดเจนมาก แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางในช่วงกลางแบบสายขรึมและน่าค้นหา ก่อนจะปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวในโทนโปร่งติดสบายๆ แต่มีเสน่ห์เฉพาะตัว

ทิ้งท้าย - จากที่ผ่านมาในแต่ละรุ่นของ Collection แรกของ Cafe de Parfum ต้องบอกว่ากลิ่นนี้มีความเป็น Niche Perfumery ที่ชัดเจนมากที่สุด โดยมีกลิ่นอายของส่วนประกอบของการเป็นขนมอาซูรอแบบทางตุรกี ความขรึม ความขลัง และความอาร์ต ที่แฝงไปด้วยความเรียบง่ายเจือในเนื้อกลิ่นอย่างมีมิติจากการผสมผสานออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงมากอีกหนึ่งรุ่นของแบรนด์นี้ เรียกว่าต้องยอมและยกนิ้วชื่นชมเลย เพราะกลิ่นชัดเจนในทิศทางที่แตกต่างแต่มีเสน่ห์มากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Page_Cafe de Parfum -https://www.facebook.com/cafedeparfumth/photos/a.184890795399077/204831376738352/?type=3



วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Maison Francis Kurkdjian - Gentle Fluidity Gold

Maison Francis Kurkdjian - Gentle Fluidity Gold 

จาก Gentle Fluidity Silver ที่สร้างความโดดเด่นในการเป็นโทนกลิ่นแนว Daily Scent ที่ให้กลิ่นอายเหล้า Gin ที่มีความ Modern Smart Casual ที่มีระดับตามสไตล์ของ Maison Francis Kurkdjian คาบเกี่ยวความเป็นกลิ่นอายแบบ Designer และ Niche Perfume ที่ใช้ง่ายอย่างลงตัว ก็ได้เวลามาต่อเนื่องที่รุ่น Gentle Fluidity Gold กันบ้าง กับพื้นฐาน Notes กลิ่นเหม
ือนกันทุกประการแต่เปลี่ยน Notes กลิ่นเด่น ปรับจำนวนความเข้มข้นของส่วนผสม เพิ่มและลดบางตัวที่เด่นในรุ่น Silver จนได้ความแตกต่างออกมาอย่างมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เช่นนั้นลักษณะกลิ่นจะเป็นอย่างไร ก็บอกเล่าออกมาได้ในลักษณะนี้เลย 

Gentle Fluidity Gold จะเป็นอีกมุมที่ลดทอนความเป็นโทนเหล้า Gin ของรุ่น Silver ลงไป และดันเอา Background ที่หลบๆ ซ่อนๆ อย่างวานิลลาขึ้นมาเป็น Center Note แทน โดยจะสัมผัสได้ในทุกๆ ช่วงกลิ่นเลยทีเดียว เริ่มต้นที่การเปิดตัวในช่วงต้นกลิ่นที่วานิลาจะเป็นฉากหลังให้จับต้องได้ แต่จะมีความเป็นโทนเหล้า Gin อ่อนๆ มีความเขียวบางๆ ผสมผสานกับเม็ดผักที่ที่โดดเด่นให้ความปร่าซ่าเผ็ดติดออกทางนุ่มมากกว่าจะคม เพราะจะเจือความเผ็ดนุ่มาติดไม้หอมของเม็ดจันทน์เทศ ทำให้ได้ความรู้สึกกึ่งโทนขนม Gourmand หน่อยๆ มีความ Spicy ปร่าแบบติดนวลที่จับต้องได้ และที่ทำให้ช่วงต้นเป็นเหมือนการแตะมือรับช่วงต่อจากรุ่น Silver ให้เห็นความเชื่อมโยงกันระหว่าง 2 รุ่นได้อย่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง วานิลลาเริ่มจะเปิดตัวชัดเจนจนกลายเป็นกลิ่นหลัก ที่จะมีกลิ่นโทนไม้หอมเจือกลิ่นโทน Ambroxan ที่ให้ความอวลปนอบอุ่นแบบแอมเบอร์เจือกลิ่นอายแบบโทนหนังลึกๆ กำลังดีรองพื้น ทำให้กลิ่นจะมีโทนอบอุ่นชัดเจนตั้งแต่ช่วงนี้ ซึ่งนอกจากวานิลลาอบอุ่นแล้ว จะมีกลิ่นอายแบบโทนดอกไม้ขาวนวลๆ และกุหลาบ และโทนผลไม้อ่อนๆ มาเสริม ทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะเป็นวานิลลาที่ติดหวานหอมแบ่งครึ่งกันได้อย่างลงตัวระหว่างวานิลลาและดอกไม้ติดวูบออกผลไม้เจือความอบอุ่นได้อย่างลงตัวแต่ไม่ได้หนักหน่วง เพราะจะมีความนวลติดออกทางแป้งนุ่มของโทน Musk เสริมเข้ามาทำให้กลิ่นมีความกำลังดี ทำให้กลิ่นจะมีความพอเหมาะพอดีไม่หวานจัดเกินไป ให้ความเป็นแป้งวานิลลาที่อบอุ่นและมีความผ่อนคลายเจืออย่างมีระดับไปตลอด โดยคุมโทน Concept ความเป็นโทนสีออกทางครีมนวล บางวูบกลิ่นทำให้นึกถึงกลิ่นอายแนวๆ Mancera - Roses Vanille แบบที่เบาลงมามีระดับและความสุภาพแกมอบอุ่นที่มีพลังกำลังดี ไม่ได้หนักหน่วงจนหวานจัดชัดเจนพุ่งรอบทิศนัก ซึ่งกลิ่นในช่วงกลางนี้จะยังส่งต่อไปช่วงท้ายโดยยังมีความเป็นวานิลลาติดหวานอบอุ่น มีความเป็นโทนแป้งอยู่ชัดเจน เพียงแต่กลิ่นจะลดทอนลงมานุ่มมากขึ้น เป็นแป้งนวลวานิลลาติดหวานอ่อนๆ ที่ละมุนมีคลาสมีระดับและมีความสุภาพ และให้โทนกลิ่นอุ่นผ่อนคลายกำลังดีแบบสไตล์วานิลลาที่ลงตัว พลิ้วไหว และรื่นรมย์ กลิ่นให้โทนสีออกทางนวลครีมปนเหลืองอมทองสว่างได้ดีเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย แต่จะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อย เพราะความเป็นวานิลลาติดหวาน แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายมากอยู่ดี โดยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ใส่ทำงาน Office ก็ได้ หรือใส่ทั่วๆ ไปก็ได้ แต่งานทางการอาจจะต้องเลือกหน่อยว่าพอได้หรืออาจจะไม่เข้าทาง ส่วนการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย หยุดไว้ก่อนได้เลย เดี๋ยวตีขึ้นจนอึนมึนไปเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืน จัดไปได้เลย เพราะตัวนี้มีลักษณะโทนกลิ่นที่เหมาะกับช่วงยามกลางคืนได้ดีมาก ไม่ว่าจะใส่ออกงาน ใส่ทั่วๆ ไป หรือใส่ไปท่องราตรีปาร์ตี้แบบมีระดับก็ได้หมด เพียงแต่สเปรย์เหมาะสมก็จะดีงาม 

ความทน - ดีมากกกก เรียกว่า 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ไม่หนีไปไหน และมากกว่านั้นเสียด้วยถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัว เพราะเจอที่ 15 ชม. มาแล้วกับการใช่เพียง 4 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และจะพีคขึ้นมาเป็นกระจายดีมากในช่วงกลาง เพียงแต่ไม่หนักหน่วงมากนัก จนเมื่อถึงรอยต่อระหว่างช่วงกลางกับท้ายที่จะเริ่มลดลงมาที่กระจายปานกลางไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านไป 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป 

ทิ้งท้าย - ง่ายๆ Silver เป็น Daily Scent ส่วน Gold เป็น Evening Scent ที่รับช่วงต่อกันได้ดีและลงตัวมากในพื้นฐานกลิ่นที่มี Notes เหมือนกัน ต่างกันแค่ความเข้มข้นของแต่ละกลิ่นเด่น และเช่นเดิมกลิ่นนี้ยังเป็น Niche Perfume ที่ใช้ง่าย โดยยืนพื้นกับการเป็นโทนวานิลลาที่ดี ยังไงก็หอมและเข้าถึงได้ไม่ยาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.franciskurkdjian.com/gentle-fluidity-gold-edition.html



วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Maison Francis Kurkdjian - Gentle Fluidity Silver

Maison Francis Kurkdjian - Gentle Fluidity Silver

เอาเข้าจริงก็เป็นทริคอย่างหนึ่งของแบรนด์ Maison Francis Kurkdjian ที่มักจะออกน้ำหอมออกมาเป็นคู่ที่อาจจะเป็นคู่ชายและหญิงบ้าง โดยที่จะมีจุดร่วมกันอยู่เช่น Notes ที่คล้ายคลึงกันอาจจะมากหรือน้อยว่ากันไป เพียงแต่จะเป็นการปรับจำนวนความเข้มข้นของส่วนผสมที่จะให้ตัวไหนเด่นขึ้นมา ลดโน่น เพิ่มนี่ จนทำให้โทนกลิ่นมีการเปลี่ยนแปลงโดยยังมีพื้นฐานกลิ่นต
ามจุดร่วมที่วาง Concept ไว้ และน้ำหอมรุ่นใหม่ล่าสุดที่พึ่งวางจำหน่ายอย่าง Collection - Gentle Fluidity ก็เช่นกัน 

ซึ่งความเป็น Gentle Fluidity เองจะแบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ Silver กับ Gold โดยมีจุดร่วมคือ Notes กลิ่น 49 อย่างผสมผสานเข้าด้วยกัน และทั้ง 2 รุ่นจะใช้ Notes เดียวกันเลย เพียงแต่ทำตามทริคที่บอกไว้ที่ย่อหน้าแรก คือ วางกลิ่นเด่น Notes เด่น แล้วเพิ่มโน่น เพิ่มนี่ ลดนั่น ลดโน่น จนทำให้กลิ่นมีความแตกต่างตามความเป็น Silver และ Gold เช่นนั้นไหนๆ เขามาแพ็คคู่ก็มาบ้าง ก็เริ่มที่ความเป็น Silver ก่อนเลยว่าจะให้โทนในลักษณะไหน 

Gentle Fluidity Silver เปิดตัวมาจะจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางเหล้าจินที่จะให้ความปร่าโปร่งเจือเขียววูบมาก่อนเลย ซึ่งโทนกลิ่นที่ให้ลักษณะแบบเหล้าจินก็หนีไม่พ้นว่ามาจากจูนิเปอร์เบอร์รี่ โดยจะมีลูกคู่รองรับแนวๆ กลิ่นโทน Fresh Spicy อย่างเม็ดผักชีที่ทำให้กลิ่นมีความปร่าและสว่างมากขึ้น กลิ่น Sparkling กำลังดี เนื้อกลิ่นมีโทนแห้งๆ แบบกลิ่นเหล้าจินชัดเจน และจะจับต้องได้ถึงโทนกลิ่นที่รองพื้นอยู่ในลักษณะอวลๆ ปร่านุ่มติดไม้หอมซึ่งมาจากเม็ดจันทน์เทศ และเจือแอมเบอร์และกลิ่นโทนคล้ายหนังลึกๆ หน่อยๆ ที่จะมาจากโทนกลิ่นแนวๆ สารหอมอย่าง Ambroxan เรียกว่าช่วงเปิดเป็นช่วงที่สร้างความโปร่งสว่างเจือความอบอุ่นให้ความสมาร์ทของกลิ่นที่ลงตัว และบอกชัดเจนได้เลยว่าสามารถเป็น Daily Scent ในการใช้งานยามกลางวันได้ชัดเจนมาก 

แล้วโทนกลิ่นจะเริ่มมีความอวลหอมสบายๆ แทรกขึ้นมาตามลำดับในช่วงกลางความอบอุ่นแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ กำลังดีก็เริ่มชัดขึ้น โดยที่กลิ่นของโทนเหล้าจินจะยังคงอยู่ แต่จะลดระดับลงไปเป็นฝ่ายสนับสนุนแทน โดยกลิ่นของเม็ดจันทน์เทศที่ให้ความปร่านุ่มจะกลายเป็นตัวเด่นในช่วงนี้ตีคู่กับโทนแนวๆ Ambroxan ที่ให้ความอวลกำลังดี ซึ่งจะมีโทนไม้หอมแนวๆ ไม้ซีดาร์และไม้หอมติดอวลลึกแทรกอยู่ให้จับต้องได้ประปราย และแอบจับโทนลายเซ็นของสุคนธกรได้ในช่วงนี้อย่างโทนดอกส้มอ่อนๆ ที่ให้ความสะอาดเจือเปรี้ยวปลายกลิ่นที่แฝงอยู่เนียนๆ โดยภาพรวมเนื้อกลิ่นจะมีความแห้งอวลเจือกลิ่นแนวหวานเบาๆ ติดปลายกลิ่น ให้ความสบายๆ มีระดับและมีสไตล์แบบ Modern Smart Casual ที่เข้าทางน้ำหอมผู้ชายพอสมควร จนเมื่อโทนกลิ่นเริ่มมีความนุ่มเจือสะอาดมากขึ้น และมีความอบอุ่นติดหวานกำลังดีเสริมขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่ความเป็นโทนเหล้าจินจะเหลือเพียงเบาบาง แต่จะให้ความเป็นไม้หอมเจืออบอุ่นติดอวลกลายเป็นตัวเด่นเคล้าความอบอุ่นกำลังดี ซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นโทน Musk ที่มาให้ความสะอาดในเนื้อกลิ่นและมีกลิ่นนวลหวานเบาๆ ของวานิลลามาเสริมโทนให้โทนอบอุ่นมีความนวลอวลกำลังดีไปตลอด กลิ่นยังคงคุมโทนความสมาร์ทและทันสมัย ปูทางเข้ากลิ่นอายสไตล์น้ำหอมผู้ชายที่ใช้งานได้ง่าย แต่มีระดับแบบไม่พลังจัดจ้านหนักหน่วงมากไป ให้ความพอดีไปตลอด เข้าทางการเป็นสาย Daily Scent ที่ไม่ตกเทรนด์การใช้งานในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ระบุไว้ว่า Unisex แต่กลิ่นปูทางไปสู่การเป็นน้ำหอมผู้ชายพอสมควร ซึ่งถ้าเทียบน้ำหนัก กลิ่นก็ออกทางผู้ชายราวๆ 70-75% ได้ ซึ่งถ้าสาวๆ ไม่มายด์ก็จัดไป กลิ่นให้ความสบายๆ และสร้างออร่าแบบแมนๆ แนว Gentlewoman ได้เลย ซึ่งได้ตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไป โดยสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะออกงาน พบปะผู้คน ทำงาน Office ใส่ไปเรียน ชิลล์ๆ หรือกิจกรรมกลางแจ้งแบบที่ไม่ได้หนักหน่วงมาก จะมีก็เพียงแต่การใส่เพื่อออกกำลังกาย ที่แนะนำรอช่วงท้ายๆ ก่อนจะดีกว่า เพราะไม่งั้นเดี๋ยวกลิ่นตีขึ้นมากๆ อาจจะอึดอัด เพราะมันมีความอบอุ่นเจือไม้หอมเยอะพอสมควร และที่สำคัญกลิ่นนี้ครอบจักรวาลมาถึงการใช้งานยามค่ำคืนได้ด้วย เพราะกลิ่นมีระดับพอสมควร เพิ่มสเปรย์นิดออกงานหรือท่องราตรีได้เลย

ความทน - 8 ชม. เป็นพื้นฐาน ซึ่งจะมากกว่าหรือน้อยกว่านี้ก็อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. สบายๆ กับการใช้งาน 6 สเปรย์ และลากไปได้มากกว่านั้นอีกแบบติดผิวเสียด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วคงเส้นคงวาพอสมควรจนไปถึงช่วงกลางซักพัก ถึงจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นกระจายปานกลางให้ความพอดีๆ ไปตลอด พอเข้าช่วงท้ายถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวสบายๆ ไปเรื่อยๆ แล้วจะกลายเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปซักราวๆ 10 - 12 ชม. (อิงตามสภาพผิวของผู้ใช้)

ทิ้งท้าย - เอาจริงๆ กลิ่นนี้มีความเป็นโทนแบบ Designer Brand ที่แตะความเป็น Niche Brand แนวใช้ง่าย แบบที่คนชอบ Designer อยากขยับขึ้นมาก็ใช้ตัวนี้ได้ หรือคนที่ชอบ Niche จะใช้ตัวนี้ก็ไม่เสียหาย แต่ยังไงก็ยังอยู่บนพื้นฐานกลิ่นที่มีระดับตามสไตล์ของแบรนด์ที่คุม Concept ได้ดีนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.franciskurkdjian.com/cache/images/product/ce2cbe24adb0f93f2f072979662e5352-packshot-gfsilver-flacon70ml.-1285.jpg



วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Maison Francis Kurkdjian - Oud Velvet Mood

Maison Francis Kurkdjian - Oud Velvet Mood 

ผ่านสาย Oud ของ Maison Francis Kurkdjian มาแล้ว 1 รุ่น ที่สื่อสารถึงความพลิ้วไหวของผ้าซาตินกับอารมณ์ของความเป็น Oud ก็ได้เวลามาสู่รุ่นที่ 2 กับการสื่อสารถึงคำว่า Velvet หรือผ้ากำมะหยี่ Mix รวมกับความเป็น Oud กันบ้าง ซึ่งจะออกมาในรูปแบบกลิ่นอย่างไร และทำให้รู้สึกถึงคำว่ากำมะหยี่มากน้อยแค่ไหน ว่ากันที่รุ่นนี้เลย Oud Velvet Mood 

เปิดตัวมาแบบทำเอาอึ้งได้เลยทีเดียว โดยจะเด่นที่กลิ่นออกทางเครื่องเทศแนวหวานปนขมเด่นของหญ้าฝรั่นที่ติดเมทัลลิคโลหะที่ค่อนข้างมาชัด โดยจะมีกลิ่นโทนลักษณะแบบ Oud ทืี่ไม่ได้มาสายอวลลึก แต่ค่อนไปทางเนื้อไม้ติดขมไหม้ มีกลิ่นออกทางหนังหน่อยๆ ซึ่งก็มาแบบโทนไหม้เช่นกัน ทำให้กลิ่นจะมีลักษณะออกทางยาก็ได้ หรือออกทางพลาสติคหลอมก็ได้ พวกเครื่องจักรที่มีกลิ่นอึนๆ ออกมา ซึ่งทำให้ได้อารมณ์ลักษณะแบบเดินอยู่ในโรงเก็บพลาสติคที่หลอมเสร็จไม่นานแล้วรอบข้างมีเผายางอะไรซักอย่าง หรือกลิ่นออกทางพลาสติคพวกคอนโซลที่โดนแดดร้อนๆ ในรถยนต์พอสมควร ซึ่งเปิดต้นมากลิ่นเองก็มีความแปลก และเข้าลักษณะกลิ่นอายที่ไม่ได้ง่ายในการใช้งาน 

แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง กลิ่นอายเริ่มพัฒนามาสู่โทนกลิ่นที่เริ่มมีความพลิ้วไหวเข้ามาและลดความแปลกห่ามในตอนต้นไปเยอะพอสมควร เพราะกลิ่นที่จะเด่นเป็นสง่าเลยคือ หญ้าฝรั่น ที่จะเป็นเหมือนตัวเด่นนำแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย ให้ความเป็นโทนขมติดปลายหวานและยังมีความรู้สึกของโทนเมทัลลิคอยู่บ้าง รวมถึงความเป็นโทนหนังหน่อยๆ ที่แฝงอยู่ ซึ่งจะมีตัวสนับสนุนดีจากกลิ่นอบเชยที่โดนเกลาความอุ่นร้อนลงไปเหลือแต่โทนหวาน เคล้ากับกลิ่นยางไม้และกลิ่นออกทางคล้ายเวลาเผาไม้เนื้อดำเจือกลิ่น Oud ที่ให้อารมณ์แบบ Incense สีดำที่ให้ควันอ้อยอิ่งแบบขรึมๆ ดาร์ก ทำให้ช่วงนี้กลิ่นจะสร้างออร่าสีโทนเข้มกันอย่างชัดเจนและเริ่มมีลักษณะที่เป็น Velvet หรือกำมะหยี่ที่ให้โทนสีออกเข้มด้วยเช่นกัน โดยที่จะจับต้องได้ถึงกลิ่นที่ออกทางเย็นนิ่ง ไม่ได้ไปสายอุ่นและมีความเป็นโทนตะวันออกกลางชัดเจนมากนัก จนเมื่อค่อยๆ มีความเปลี่ยนแปลงเพราะกลิ่นของหญ้าฝรั่นจะลดทอนลง เหลือความขมเจือหวานปลายให้พอจับต้องได้ โดยให้โทนกลิ่นอายแนวยางไม้เด่นขึ้นมาและมีกลิ่นติดหวานปลายอบเชยที่ติดไหม้ตีคู่กับกลิ่นแนว Oud ที่ค่อนไปทางดาร์กขมลึก ซึ่งกลิ่นให้ความรู้สึกโทนเข้มกลิ่นออกทางอากาศปน Spicy Smoky ไม้สีดำเผาที่มีความอุ่นอยู่ประปราย โดยที่ยังมีกลิ่นออกทางเมทัลลิคเจืออยู่บ้าง ให้ความเป็นโทนไม้หอมดาร์กปนอวลแบบที่ไม่แน่นหนักเกินไปและมีความเป็นสีออกทางเทาเข้มพอสมควรในช่วงท้ายนั่นเอ 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะกลิ่นเป็นลักษณะที่ออกทางสภาพแวดล้อมเสียมาก มีความแปลกไม่เหมือนใคร เรียกว่ามาสาย Niche และ Unique ได้เลย ซึ่งจะเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน สำหรับเวลาที่ต้องการให้กลิ่นจะเสริมบุคลิกที่น่าค้นหาและขรึมเงียบนิ่ง แต่มีอะไรที่ดึงดูดเข้ามาร่วมด้วย ถ้าเป็นยามทางการอาจจะต้องเลือกให้เหมาะกับงานนิดนึง แต่ถ้าทั่วๆ ไปก็ตามสะดวก เพียงแต่เพลาๆ จำนวนสเปรย์ให้เหมาะสมและไม่หนักมือเกินไปก็พอ ที่สำคัญตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นมันแปลก และสร้างความเก๋แบบเทาเข้มค่อนไปทางสีดินติดดำได้อยู่ ถ้าต้องการแปลกและแตกต่างในการนำเสนอ ก็สามารถใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรีได้เช่นกัน 

ความทน - มากกกกกกก 15 ชม. กลิ่นยังคงมีอยู่ เรียกว่ามีความจัดจ้านในย่านนี้ตีคู่กับสุดจัดปลัดบอกได้เลย 

การกระจาย - ดีมากในช่วงต้น ก่อนจะลดลงไปกระจายดีแบบเสถียรยาวไปจนถึงช่วงท้าย ให้กลิ่นอบอวลพอสมควร แถมถ้าเข้ากับผิวจะทิ้งกลิ่นคงค้างไว้ในห้องที่ฉีดไประยะนึงเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. กลิ่นจะค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ ไม่หายไปไหนง่ายๆ ด้วย 

ทิ้งท้าย - กลิ่นโทน Oud ไม่ได้เป็นตัวเด่นนัก เพราะจะมาแบบเป็นตัวสนับสนุนให้กลิ่นมีมิติที่น่าค้นหาท่ามกลางกลิ่นที่มีความ Unique เสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นที่มาเต็มมาชัดเลยจะเป็นหญ้าฝรั่น ที่ทำให้กลิ่นมีลักษณะของความเป็นโทน Velvet หรือกำมะหยี่ชัดขึ้น ซึ่งถ้าดูจากชื่อรุ่นก็ไม่ได้ผิดแผกอะไร เพราะ Oud มาเจอกับ Velvet Mood ที่ค่อนไปทางดาร์ก แปลก และมีความเทาเข้มในเนื้อกลิ่น ทำให้กลิ่นนี้มีความเป็น Niche Perfume ที่ชัดเจนที่สุดของแบรนด์ได้เลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.justfragrance.org/perfume/francis-kurkdjian-oud-velvet-mood/

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Maison Francis Kurkdjian - APOM Femme

Maison Francis Kurkdjian - APOM Femme 

A Piece of Me หรือ APOM เป็นหนึ่งในรุ่นน้ำหอมที่เรียกว่าเป็นสายเรตติ้งดีของ Maison Francis Kurkdjian มาตลอด ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากความทรงจำของตัวสุคนธกรเองที่มีความประทับใจเวลาที่ได้ไปท่องเที่ยวที่ประเทศเลบานอน และเอา Note ตัวเก่งของเขาเองอย่างดอกส้มเข้ามาผสมผสานจนได้ออกมาเป็น APOM ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ซึ่งกลิ่นฝ่ายชายอันนี้ผ่านการเล่าไปเรียบร้อย
เช่นนั้นก็ต้องมาปิดจ็อบกันที่รุ่นฝ่ายหญิงกันหน่อยว่าจะมีลักษณะอย่างไรบ้าง 

APOM Femme เปิดตัวกันด้วยโทนกลิ่นที่เป็นลายเซ็นของสุคนธกรได้เลยนั่นคือ กลิ่นอายของดอกส้มที่มีเลเยอร์ 2 สเต็ป คือ กลิ่นติดโทน Citrus เจือเขียวที่มาอ่อนๆ แบบ Neroli กับกลิ่นออกทางนวลสะอาดติดหวานเปรี้ยวอ่อนๆ เจือหวานออกทางน้ำผึ้งหน่อยๆ ของ Orange Blossom เคล้ากับโทน Citrus ที่ให้ความสดชื่นเจือนุ่มปนแห้งคล้ายโทนมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) กำลังดี แอบทำให้นึกถึง Guerlain บางรุ่นอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นนัยยะสำคัญอะไรเพราะกลิ่นมีความหอมที่ลงตัวมากจริงๆ ยิ่งถ้าใครชอบกลิ่น Orange Blossom เป็นทุนเดิม จะปลื้มปริ่มกันได้เลยตั้งแต่แรกดม 

แล้วกลิ่นจะเริ่มมีโทนลักษณะแบบสาย Floral ออกมาให้ความรู้สึกสีเหลืองนวลของกระดังงาเข้ามาเสริมเรื่อยๆ ตามลำดับ จนเข้าสู่ช่วงกลางที่จะกลายเป็นโทนที่ตีคู่คลอกัะนไประหว่างความเป็นกระดังงาที่มีความนวนปนเย้ายวนดึงดูดเคล้ากับกลิ่นดอกส้มที่ให้ความสะอาดเจือเปรี้ยวอมหวานปลายแบบตีคู่และรับและรุกส่งต่อความหอมไล่โทนกันได้อย่างลงตัว ซึ่งในช่วงนี้จะจับได้ถึงกลิ่นอายดอกไม้ขาวติดโทนแป้งเข้ามาร่วมด้วย มีความเป็นมะลิหน่อยๆ ที่ทำให้ได้อารมณ์ติดเย้ายวนเจือโทนแป้งหอมดอกไม้เด่นที่กระดังงาค่อนไปทางคลาสสิคนิดๆ ติดหวานปนสะอาดนวลเปรี้ยวปลาย มีความกรุยกรายเย้ายวนกำลังดี จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโทนไม้หอมติดแห้งๆ ที่มีความโปร่งติดขรึมสว่างที่เริ่มชัดเจนขึ้นตามลำดับ พร้อมกับกลิ่นอายที่ค่อนไปทางแป้งหอมเจืออบอุ่นเริ่มชัดเจนขึ้นมาด้วย ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้าย ที่จะเป็นกลิ่นไม้เจือแป้งอบอุ่นที่มาจากโทนวานิลลา โดยมีกลิ่นดอกไม้ในช่วงกลางอย่างกระดังงาและโทนดอกไม้ขาวต่างๆ รวมถึงกลิ่นดอกส้มอ่อนๆ ให้ความหวานละมุนเจือในโทนแป้งนวลๆ อ่อนโยนกำลังดี มีระดับในความเป็นโทนสว่างค่อยไปทางสีเหลืองนวลออกทางสีแสงแดดและมีความนวลระเรื่อผิวไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ได้สบายมาก เพราะกลิ่นมาสายดอกไม้ขาวเด่นที่ดอกส้ม โดยไล่เรียงจากความสดชื่น มาสู่นวลละมุนได้อย่างลงตัว โดยแอบเจือความคลาสสิคบ้าง โดยใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นมีระดับเจืออ่อนโยนและมีลูกเล่นในความเป็นโทนกลิ่นผู้หญิงที่มีความละมุนปนเย้ายวนผ่านกระดังงาและดอกส้มได้ดีเลย แต่ไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายแต่อย่างใด ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่กลิ่นนี้จะเหมาะกับยามผ่อนคลายสบายๆ หรือว่าโรแมนติค รวมถึงใส่ออกงานก็ยังได้ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อท่องราตรีไปได้เลย เพราะไม่เข้าทาง

ความทน - กลิ่นทนมากกับราวๆ 15 ชม. ขนาดเหงื่อซึม อากาศร้อน ยังมีความสีทนได้ยาว ถือว่ายอดเยี่ยมในเรื่องนี้มากจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ พอเข้าช่วงท้ายจะละมุนระเรื่อผิวให้ออร่าหอมหวานนวลไปตลอด

ทิ้งท้าย - ส่วนตัวมองว่า APOM ของผู้ชายค่อนข้างมีความสตรองแบบเดินเล่นในเมืองที่มีกลิ่นอายผลไม้แห้งๆ หอมน้ำผึ้งปนดอกส้มและไม้หอมที่มีโทนแสงอบอุ่นสีส้มฉาบแต่พอมาเป็นของผู้หญิงกลับให้ความอ่อนโยนและละมุนสายตาเคล้าความหอมหวานนวลแป้งกำลังดีไปตลอด ถือว่าเป็นการจับคู่กันได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว 

ปล. รุ่นนี้มีการเปลี่ยนชื่อจาก APOM pour Femme มาเป็น APOM Femme โดยในรูปจะยังเป็นชื่อเก่าอยู่ ^^

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.luckyscent.com/product/49802/apom-pour-femme-by-maison-francis-kurkdjian



วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Robert Piguet - Futur

Robert Piguet - Futur 

Robert Piguet เป็นหนึ่งในตำนานสายแฟชั่นที่โด่งดังมากในช่วงยุค 30 กลางๆ ซึ่งเขาได้เสียชีวิตในปี 1953 ทำให้หลังจากนั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยจนทุกวันนี้เน้นทางด้านน้ำหอมเป็นหลัก เพราะได้รับความนิยมอย่างสูงมากตั้งแต่ยังเป็นแบรนด์แฟชั่น เลยมุ่งชัดเจนสร้างตำนานทางด้านกลิ่นหอมมาก็มากมายที่เหนือกาลเวลาจนทุกวันนี้ทั้งรุ่น Bandit และ Fracas เป็นต้น 

แต่การเล่ากลิ่นแบรนด์นี้ครั้งแรก ก็ยังไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ลองอย่างเป็นจริงเป็นจังในรุ่นเหนือกาลเวลาที่ยกตัวอย่างดังกล่าว แต่กลับมาได้เจอรุ่นที่เป็นสายคลาสสิคเหนือกาลเวลาอีกกลิ่นที่มาในสายโทนเขียวอย่าFutur ที่สร้างความประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียวกับการเป็นโทนสดชื่นสไตล์ Vintage ที่มีความ Modern เหนือกาลเวลาแบบมั่นใจและมีระดับ เช่นนั้นก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าจะเป็นอย่างไร

Futur เปิดตัวด้วยความเป็นโทน Green Aldehydes ที่ชัดเจนมากตั้งแต่ต้น กลิ่นจะมีความคม พุ่ง ชัดเจนและจัดเต็มด้วยความเป็นโทนสบู่คมๆ เจือ Citrus ของ Aldehydes ผสมผสานกับกลิ่นโทนเขียวที่ให้ความกึ่งฉ่ำติดชื้นหน่อยๆ กำลังดีมีลักษณะของโทนกลิ่นดอกไม้สดชื่นสไตล์ดอกส้มที่ให้ความเขียวติดเปรี้ยวลักษณะเป็นโทนดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) และมีกลิ่นออกทางปร่าซ่าติดเขียวในสไตล์แบบน้ำมันหอมระเหยมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) ที่จะให้โทน Fresh Spicy ให้กับกลิ่นช่วงต้นปนกับวูบกลิ่นเขียวติดเมือกๆ Oily ลื่นๆ ของไฮยาซินท์ ทำให้ช่วงเปิดนี่เรียกว่ามาชัด มาเต็ม กับการเป็นลักษณะโทนสบู่เคล้าความเขียวที่อวลคมให้ความสดชื่นจัดเต็มค่อนไปทางคลาสสิคได้ดีเลยทีเดียว 

เพียงไม่นานจะเริ่มจับโทนคลาสสิคในสาย Floral เด่นที่ดอกไม้เสริมขึ้นมาเรื่อยๆ กับการเป็นมะลิที่ให้ความขาวนวลเจือโทน Indolic ที่ตุ่ยๆ หน่อยตีคู่ไปกับกลิ่นของกระดังงาที่ให้โทนเย้ายวน ซึ่งความคมในตอนต้นจะเริ่มผ่อนลงมาเป็นสบู่อวลสะอาดเจือเขียวกำลังดี มีโทนแป้งหน่อยๆ และมีความโปร่งในเนื้อกลิ่นมากขึ้น ซึ่งก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว ซึ่งผสมผสานกันเป็นโทนออกทางสบู่เคล้าไปกับความเขียวเจือดอกไม้ที่มีความ Vintage แต่ไม่ถึงกับกรุยกรายมาก ออกทางอวลเย้ายวนแบบไม่โจ้งแจ้งปนมั่นใจและมีความสะอาดเจือเขียวเป็นที่ตั้ง จนค่อยๆ มีกลิ่นอายของโทนไม้หอมแห้งๆ น่าค้นหาที่ค่อยๆ เปิดตัวเข้ามาในกลิ่นแบบเรื่อยๆ คลอไปซักระยะ ก็เข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นโทนสบู่จะลดทอนลงมาหน่อยยังมีความเป็นโทนดอกไม้ ที่เด่นกับกระดังงาปนมะลิอยู่ ซึ่งกลิ่นจะมีความสะอาดมากขึ้น นวลปนหวานหน่อยๆ แบบสายสนับสนุนให้กลิ่นของโทนไม้หอมอย่างหญ้าแฝกเป็นตัวเด่นขึ้นมาคุมโทนแทน โดยจะเป็นกลิ่นไม้แห้งๆ สะอาดๆ และมีความโปร่งไม้ซีดาร์แบบไม้ดินสอหน่อยๆ ให้กลิ่นมีมิติคลอไปกับกลิ่นสบู่ติดเขียวหอมซ่าอวลเจือนวลดอกไม้แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ซึ่งภาพรวมของกลิ่นเลยเป็นลักษณะโทน Fresh Classic มีความ Vintage กำลังดี แบ่งภาคกับความร่วมสมัยที่ใช้ได้แบบยาวไปได้ลงตัวมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบาย แม้จะมีโทนค่อนไปทางสบู่คมๆ อยู่ แต่ยังไงก็ยังมีความร่วมสมัยที่ใช้งานได้ไม่ยาก จึงใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย เรียกว่ากวาดได้หมดไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นแตะได้ทุกมุมไม่ว่าจะ Classic หรือปัจจุบัน โดยให้ความสดชื่นมั่นใจเป็นที่ตั้ง กิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายยังใส่ได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบให้ความสดชื่นสะอาดคมๆ ในวันอากาศร้อนๆ จะเหมาะกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายท่องราตรีเลยแม้แต่น้อย ตลอดจนกลิ่นนี้เอาจริงๆ ผู้ชายใช้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นไม่ได้ถึงกับสาวจ๋ามากขนาดนั้น จะมีแค่ช่วงกลางที่สาวมากกว่าชาวบ้านเขาหน่อย แต่ถ้าไม่มายด์ ใส่เถอะ สดชืิ่นมากจริงๆ 

ความทน - ดีงามกับราวๆ 8 ชม. ได้เลย ซึ่งก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก ในสไตล์น้ำหอมออกทางคลาสสิคด้วยโทน Aldehydes กลั้วเขียว แล้วจะลดลงมากระจายปานกลาง ก่อนจะดรอปลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้ความสะอาดเจือโทนไม้หอมแห้งๆ มีเสน่ห์มากๆ ยาวไป 

ทิ้งท้าย - ถ้าคุณใช้ Chanel No.5 L’Eau ได้ คุณก็ใช้ Robert Piguet - Futur ได้สบายมาก แถมกลิ่นมีความมั่นใจแบบหรูหรามีระดับสไตล์เขียวดมๆ ได้ดีอีกด้วย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - http://www.sniffapaloozamagazine.com/MARCH15ISSUE2009SPRINGFLING.html

วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562

Review: Gucci Rush for Men

Gucci Rush for Men 

ช่วงที่ Tom Ford ได้ทำงานกับ Gucci ในตำแหน่ง Creative Director นอกจากแฟชั่นที่กลายเป็นหนึ่งในยุคที่รุ่งโรจน์ของแบรนด์จากที่เกือบจะพังทลายไปแล้ว น้ำหอมเองก็มี Masterpiece ออกมามากมายและน่าจดจำเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น Gucci pour Homme, Envy ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย, Accenti, Gucci EDP และขาดไปไม่ได้เลยนั่นคือ Gucci Rush ทั้งหลายที่ฝั่งผู้หญิงรุ่นนี้เรียกว่าอยู่ยงคงกะพันปล่อยพลังความ Sexy ได้ใจมากจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ขอชื่นชม Tom Ford เลยที่ทำให้ Gucci เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ติดลมบนมาตลอดจนทุกวันนี้ 

แต่ก็น่าเสียดายมากที่ในสาย Gucci Rush มี 1 รุ่นที่เลิกผลิตไป และเป็นอีกหนึ่งใน Masterpiece ได้เลย อย่าง Gucci Rush for Men ที่เป็นหนึ่งในกลิ่นโทน Sandalwood หรือไม้จันทน์ฺหอมที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในโลก รวมถึงเป็นการเปิดศักราชการนำ Incense เข้ามาสู่น้ำหอมสาย Designer เสียด้วย เช่นนั้นก็ต้องมาบอกเล่าความดีงามของรุ่นนี้กันหน่อยว่าจะให้ลักษณะกลิ่นออกมาอย่างไรบ้าง 

เปิดตัวด้วยกลิ่นอายโทนไม้หอมโทนติดเขียวเจือกลิ่น Spicy แบบกลิ่นอายของเนื้อไม้สนปร่านวลหอมเคล้ากับลาเวนเดอร์ที่นุ่มจมูกเจือหวานนวลไพล่มาทางแป้งอ่อนๆ และยังมีกลิ่นอายคล้ายโทน Incense หรือธูปผงไม้โปร่งๆ สว่างๆ รองพื้นอยู่ด้านหลัง เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นน้ำหอมผู้ชายติดไม้นวลปร่านุ่มที่หอมดึงดูดแบบโทนสว่างกันตั้งแต่เริ่มเลยทีเดียว แล้วพระเอกของงานอย่างไม้จันทน์หอมที่มาแบบนวลๆ ละมุนๆ ครีมมี่กำลังดีจะค่อยๆ แทรกขึ้นมาจนเข้าสู่ช่วงกลางที่โทนไม้จันทน์หอมจะให้ความนวลครีมมี่แบบสว่างละมุนๆ เป็นพื้นฐานคลอไปกลับโทน Incesne อ่อนๆ รื่นจมูกแบบกลิ่นเนื้อไม้สีขาวปนครีมและจะมีกลิ่นอายโทนไม้หอมติดปร่าของกลิ่นไม้สนในตอนแรกมาสนับสนุนพร้อมกับลาเวนเดอร์ให้ได้ความเป็นไม้หอมนวลครีมเจือความปร่านุ่มติดโทนแป้งหวานละมุนอ่อนๆ ไปเรื่อยๆ โดยที่คุมโทนสว่างได้เป็นอย่างดี ไล่เรียงให้ความนวลเย้ายวนแบบสบายๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่จะสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงกลิ่นอายแบบครีมมี่ Incense นวลๆ มีกลิ่นอ้อยอิ่งดึงดูดระเรื่อๆ เจือหวานของพิมเสนที่โดนเกลากลิ่นมาจนกลมได้ที่ รองพื้นด้วยกลิ่นโทน Musky ที่ให้ความนุ่มสะอาดที่เป็นโทนกลิ่นที่เหมือนจะไม่มีอะไร แต่มันซ่อนความเย้ายวนนวลละมุนอย่างมีระดับในโทนกลิ่นสว่างครีมไปตลอด 

จากที่เล่ากลิ่นเหมือนจะออกไปทางกลิ่นอายไม้หอมนวลๆ สบายๆ อะโรม่า แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ซ่อนอยู่ในโทนกลิ่นแต่ละช่วงคือ จะให้ความรู้สึกแบบกลิ่นอายผิวกายผู้ชายสะอาดติดครีมมี่นวลปนแป้งไม้หอมนุ่มที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาเลย เพราะจะมีความนวลเย้าที่ให้ความรู้สึกน่ากอด น่าเข้าใกล้ น่าซุกซอกคอ น่ากองมันอยู่บนตัวดมกลิ่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มาก ไล่เรียงความเป็นโทนดึงดูด
เย้ายวน และเซ็กซี่ สมควรแล้วที่สามารถทำให้เกิดอาการ Rush (ความหมายในเชิงทางเพศ) กับคนที่ได้กลิ่นได้โดยง่ายแบบคุมโทนสว่างไปตลอดจนต้องยอมเขาเลย กลิ่นดีมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายๆ เลย เพราะกลิ่นมีให้ความรู้สึกแบบผู้ชายตัวหอมนวลสว่างเย้ายวนไปตลอด แบบที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาในความรู้สึกจริงๆ ซึ่งถ้าไม่ได้มองในเรื่องความเย้ายวน กลิ่นนี้ก็สามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปก็สามารถ จะมีเพียงการใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายที่ไมMatch นัก ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบทั่วๆ ไปหรือโรแมนติคจะเข้าทางมากกว่าใส่ไปท่องราตรีที่แม้กลิ่นจะสร้างความเย้ายวนก็จริง แต่มันไปสู้กับกลิ่นหวานเลี่ยนจัดเต็มได้ยากพอสมควร 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. อาจจะมีบวกลบบ้างก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นที่มาถึงก็ดึงดูดกันก่อนเลย แล้วจะลดลงมาที่กระจายปานกลางซักระยะ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ไม่แปลกใจเลยที่มีแต่คนเรียกร้องให้รุ่นนี้ได้กลับมาผลิต และยอมรับในฝีมือของ Tom Ford อย่างยิ่งเลยที่เป็นหนึ่งในผู้ที่สร้างความเป็น Rush ของผู้ชายออกมา ยกดาวให้กลิ่นนี้ทั้งฟ้าเลย 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://myoriginal.com.ua/product/gucci-rush-for-men/

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562

Review: Santa Maria Novella - Zagara (Orange Blossom)

Santa Maria Novella - Zagara (Orange Blossom)

ผ่านกลิ่นอายดอกส้มมาก็หลากหลายแบรนด์ ซึ่งต่างก็มีการชูโรงความเป็นดอกส้มไม่ว่าจะเป็นแนว Neroli (ดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ ที่ให้ความเขียวติด Citrus ของกิ่งก้านส้มเป็นตัวเด่น)
 กับ Orange Blossom (ดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย ที่ให้ความนวลดอกไม้ขาวสะอาดติดเปรี้ยวปลายกลิ่น) แต่ก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสมาลองกลิ่นอายดอกส้มของแบรนด์ Niche Perfume จากอิตาลีอย่าง Santa Maria Novella ในการสร้างสรรค์กลิ่นดอกส้มที่บานสะพรั่งท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นบนเกาะ Sicily มาก่อน 

เช่นนั้น มีโอกาสก็ต้องฉวย แล้วก็ลองให้รู้ว่าดอกส้มของแบรนด์นี้อย่างรุ่น Zagara จะเป็นอย่างไร ก็บอกเล่ากันได้แบบนี้เลย 

เปิดต้นกลิ่นมาก็มาเต็มในเรื่องของความเป็นโทน Citrus เด่นคมพุ่งมาก่อนเลย โดยจะมีความเขียวสดชื่นติดเปรี้ยวคมที่จับต้องได้ 2 โทน (ที่นั่งจับกลิ่นกันให้หนำและสนุกเลยทีเดียว) คือ 

1. เปรี้ยวสดชื่นคมๆ กันก่อนเลย ซึ่งจะมีโทนกลิ่นออกทางเปรี้ยวเขียวเลมอนติดออกทางเขียวเจือหญ้านิดหน่อยของใบเวอร์บีน่า ที่จะมีความซ่าคมติด Spicy ของมะกรูดฝรั่ง และความเปรี้ยวติดฉ่ำหน่อยๆ ของมะนาวที่วูบเป็นโทน Airy ออกมาให้สัมผัส แต่กลิ่นจะจับจ้องถึงความเปรี้ยวแปร่งติดคมหน่อยแนวๆ เกรปฟรุต เรียกว่าจะรวมสายของเปรี้ยวคมซ่ากันได้เลย

2. หวานติดเขียวปนสดชื่นรับช่วงปลายกลิ่นต่อจากเปรี้ยว ที่จะมีกลิ่นลักษณะคล้ายดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำอย่าง Neroli และมีกลิ่นของกิ่งก้านส้มที่เขียวเปรี้ยวปนหวาน โดยมีกลิ่นส้มติดฉ่ำบางๆ ที่ให้ความเปรี้ยวอมหวานเป็นเลเยอร์ที่ค่อนข้างชัดซ้อนเข้ามา 

ซึ่งทั้งหมดจะมีกลิ่นออกทางสมุนไพรนวลปน Spicy กึ่งสบู่บางๆ รองพื้นอยู่ โดยมีเลเยอร์แบ่งกันอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเปรี้ยวสดชื่นคมๆ มีความ Spicy กำลังดี ตามด้วยหวานสดชื่นนวลๆ มีลักษณะแนวๆ Traditional Fresh Cologne ที่กลิ่นอายสดชื่นอย่างเป็นธรรมชาติที่แตะได้ทั้งความสดชื่นสไตล์คลาสสิคก็ได้ จะร่วมสมัยก็ดี ซึ่งกลิ่นเหล่านี้คือมิติในช่วงต้นกลิ่นที่ให้อารมณ์และมิติของการเป็นวันฟ้าใสที่สดชื่นแบบอากาศดีๆ ปนสภาพแวดล้อมแนวสวนโปร่งๆ ได้ชัดเจนมาก แล้วกลิ่นจะเริ่มมีการเปลี่ยนโทนชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลาง เพราะตัวที่เด่นนำขึ้นมาเป็นตัวเอกหลักเลยคือ ดอกส้มสไตล์ Orange Blossom (สกัดแบบตัวทำละลาย) ที่จะให้ความนวลสะอาดติดเปรี้ยวเจือหวานปลายกลิ่นที่รื่นรมย์กำลังดี มีกลิ่นมะลิหน่อยๆ เสริมให้ช่วงกลางคือเป็นโทนดอกไม้ขาวสายสดชื่นเจือหวานกำลังดีได้ลงตัวมากขึ้น ซึ่งโทน Citrus ในช่วงต้นจะเริ่มลดระดับลงมากลายเป็นสายสนับสนุนให้รู้สึกสดชื่นสบายๆ โดยเป็นตัวคุมโทนความสว่างอยู่ แต่จะมีความเป็นโทน Fresh Spicy ติดปร่านวลปนเป็นตัวคุมโทนรองพื้นให้กลิ่นมีความสบายๆ ลดทอนความคมที่เคยฟุ้งในช่วงต้นจนหายไปหมด ซึ่งจะเป็นตัวสนับสนุนชั้นดีให้ดอกไม้ขาวให้มีความนวลสะอาดคลอผิวไปเรื่อยๆ ซึ่งโทนกลิ่นที่ผสมผสานกันในช่วงกลางนี้ จะอยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้าย ที่กลิ่นยังคุมโทนความสะอาดสดชื่นนวลตามปกติ เพียงแต่จะมีกลิ่นออกทาง Oak Moss ที่ให้ความเขียวเข้มนวลอ่อนๆ ผสมผสานกับ Musk ที่เบาๆ จนมีลักษณะแบบโทนสบู่ที่ติดผิวตรึงกลิ่นดอกไม้ขาวนวลให้มีความสะอาดสดชื่นอ่อนๆ แต่มีมิติเปรี้ยวอมหวานปลายกลิ่นที่รื่นรมย์และสบายๆ คลอผิวจนกว่าจะจางไปนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะเป็นกลิ่นโทนสดชื่นที่สร้างบรรยากาศโดยมีความสะอาดและเข้าถึงง่ายเป็นพื้นฐาน ใช้ง่ายได้ตั้งแต่วัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปได้เลย แม้ว่าจะมีโทนออกทาง Classic หน่อยๆ แต่แค่ในช่วงแรก ที่เหลือร่วมสมัยสะอาดนวลสดชื่นปนเรียบหรูอย่างชัดเจนเลย ที่สำคัญกวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ใส่ไปเถอะยังไงก็รอด แถมไม่รบกวนใครมากด้วย แต่มียามค่ำคืนที่เน้นใส่ยามอากาศร้อนๆ ให้ความสดชื่นดีกว่า เพราะว่ากลิ่นให้ได้แค่ความสดชื่นรื่นรมย์และผ่อนคลายเท่านั้นเอง ไม่เหมาะเอาไปสู้ชาวบ้านปล่อยพลังแน่นอน 

ความทน - แกว่งพอสมควร เพราะอยู่ที่ราวๆ 3 - 6 ชม. อยู่ที่สภาพผิว สภาพอากาศ และจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็น Eau de Cologne เช่นนั้น ลากยาวไปที่ 6 ชม. ถือว่าชนะแล้ว ซึ่งส่วนตัวกลิ่นติดเสื้อดีกว่าติดผิวมากจริงๆ แต่ก็จบที่ราวๆ 6 ชม. ไม่เกินนี้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าพุ่ง ฟุ้ง คม สดชื่นมาเต็ม ก่อนจะลดลงมาฮวบที่ออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็น Skin Scent ให้ความรู้สึกสะอาดหอมนวลๆ ดอกส้มอ่อนๆ จนจางไป 

ทิ้งท้าย - ถือเป็นน้ำหอมที่สื่อถึง Concept ได้ชัดและลงตัวมาก เพราะว่าได้ทั้งความสดชื่นวันฟ้าใสอากาศดีๆ แลบะกลิ่นดอกส้มที่บานส่งกลิ่นหอมนวลลงตัวไปตลอด ถ้าจะถือสาว่าทำไมมันไม่ทน อย่างแรกให้นึกก่อน ก็ Cologne อย่างที่ 2 ไม่ทนก็เอาไปเติมระหว่างวันไง สร้างความสดชื่นได้ดีอีกด้วย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit Cosme-DE.com --> https://imgd1.cosme-de.com/b00000732/21222.jpg



วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562

Review: L’Artisan Parfumeur - Premier Figuier

L’Artisan Parfumeur - Premier Figuier 

ข้ามช็อตไปใช้งานสาย Extreme มาก่อน ก็ได้เวลาที่จะต้องมาจับต้องรุ่นปกติที่เป็น Original และเป็นน้ำหอมกลิ่นมะเดื่อฝรั่ง (หรือที่เรียนกันง่ายๆ ว่า Fig) ตัวแรกในโลกน้ำหอมเลยก็ว่าได้ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากรุ่น
 Extreme หรือไม่ และถ้าเปลี่ยนมากน้อยแค่ไหน เช่นนั้นเข้าเรื่องกันเลยแล้วกันกับ L’Artisan Parfumeur รุ่น Premier Figuier 

เปิดต้นกลิ่นมาความเขียวที่ตีคู่กันระหว่างเขียวออกทางกลิ่นหญ้าสดชื่น กับเขียวติดทึบมีความ Milky ติดขมออกฝุ่นแห้งของใบ Fig ที่กลิ่นให้ความเป็นธรรมชาติมาก กลิ่นได้ความรู้สึกอยู่ในสวน Fig ที่เขียวหอมสดชื่นแบบที่ดมกันแบบใกล้ชิดชัดเจน ไม่ใช่กลิ่นแบบลอยมาตามลมแต่ประการใด อารมณ์เดียวกับขยี้หญ้าพร้อมใบ Fig สดจนกลิ่นฟุ้งกระจายออกมาราวๆ นั้นเลย เนื้อกลิ่นมีโทนหวานปลายเบาๆ แต่ก็ไม่สามารถสู้ความเขียวทั้งสดชื่นและติด Milky ทึบกำลังดีตามธรรมชาติไปได้เลย ให้ความเข้ม ชัด แต่ก็ยังรื่นรมย์และผ่อนคลายในความเขียวต่างเลเยอร์ได้ดีมากจริงๆ และกลิ่นในช่วงต้นนี่แหละที่จะเป็นศูนย์กลางหลักของกลิ่นที่อยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย 

เมื่อกลิ่นเริ่มพัฒนาเข้าสู่ช่วงกลางความเป็นโทนเขียวสดชื่นของกลิ่นหญ้าจะเริ่มเบาบางลงไป แต่จะให้ความเป็นโทน Milky ที่มีพื้นฐานของกลิ่นอายโทนไม้หอมครีมมี่เบาๆ ที่เข้าขากับสาย Fig อย่างไม้จันทน์หอมกับกลิ่นโทนนวลแป้งบางๆ ที่ทำให้กลิ่นมีความแห้ง แต่ก็เจือใสหวานปนเขียวขมที่มาจากลูก Fig เสริมเข้ามาร่วมทีมกับใบ Fig ที่ความเขียวเข้มลดทอนลงมากำลังดี ยังแอบติดโทนมะพร้าวเบาๆ ให้จับต้องได้ ซึ่งในช่วงนี้จะเป็นเลเยอร์ 2 มิติที่ได้ทั้งกลิ่นอายโทนเขียวปนผลไม้กับกลิ่นอายไม้หอมครีมแห้ง มีความผ่อนคลายสบายๆ มีความกลางๆ กำลังดี โดยที่ยังชูโรงความเป็น Fig อยู่ชัดเจน จนเมื่อกลิ่นอายติดโทนมะพร้าวแบบเนื้อเยื่อหุ้มมะพร้าวขาวๆ ที่หุ้มกะลาที่เวลาเราปอกมะพร้าวลูกเขียวจะมีกลิ่นแนวๆ เขียวปนครีมจืดปนอับหน่อยๆ นี้ค่อยๆ เปิดเผยตัวขึ้นมาทีละหน่อย จนเริ่มได้ที่เป็นตัวหลักในช่วงท้ายตีคู่กับกลิ่น Fig ที่เชื่อมโยงกันอยู่แล้วเพราะกลิ่นลูก Fig จะมีโทนความเป็นมะพร้าว Creamy Milky อ่อนๆ อยู่แล้วตามธรรมชาติ ซ้อนกับเลเยอร์ที่โทนไม้จันทน์หอมที่ติดครีมสว่างเริ่มเด่นขึ้นมาตีคู่ จนได้ลักษณะกลิ่นโทนแห้งที่มีความนวลปนหวานติดปลายเขียวเสริมด้วยมิติของไม้หอมครีมมี่ที่ให้ความสว่างนวล คุมโทนขาวปนเขียวที่ไม่ข้นไป ไม่หนักไปได้อย่างลงตัว 

เปรียบเทียบ - รุ่นปกติจะให้ความเขียวใสปน Milky แบบกำลังดีสบายๆ แต่รุ่น Extreme จะให้ความเข้มมากขึ้นในทางโทนไม้หอมครีมมี่สว่างๆ ที่ชัดเจนมากกว่า 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมาแบบบรรยากาศหรือสภาพแวลดล้อมเช่นนั้นได้หมดถ้าสดชื่นแบบเขียวจริงจัง ซึ่งเข้าทางกับวัย ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใส่ได้แล้ว เพียงแต่อาจจะไม่ได้เป็นกลิ่นที่เป็นโทนน้ำหอมแบบทั่วๆ ไปนัก ซึ่งก็เป็นความเก๋โดยอิงธรรมชาติเป็นหลักได้เลย ซึ่งเข้าได้กับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน จะมีก็ไม่ค่อยเข้าทางกับการใส่แบบทางการจัดๆ รับแขกบ้านแขกเมืองเท่าไหร่ รวมถึงการใส่เพื่อออกกำลังกายด้วย เพราะกลิ่นมันมีความทึบระดับหนึ่งเลยจะอึดอัดเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปสบายๆ ได้บรรยากาศจะดีกว่าการใส่ไปท่องราตรี ที่แม้ว่าใส่ได้ แต่การปล่อยพลังสู้ตัวอื่นสายหวานแน่นอวลไม่ได้แน่นอน 

ความทน - ลงตัวกับราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอ ิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. สบายๆ กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ และลากยาวไปที่ 12 ชม.ได้แบบระเรื่อยๆ อ่อนๆ ติดตัวเบาๆ เสียด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาที่ปานกลางซักระยะก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป พอพ้นไปซัก 8 ชม. แล้วจะกลายเป็น Skin Scent จนกว่าจะจางไป

ทิ้งท้าย - ไม่แปลกใจที่รุ่นนี้เป็นหนึ่งในกลิ่น Fig ที่ดีที่สุดในโลก แถมเป็นต้นตำรับของกลิ่น Fig ที่แจ้งเกิดน้ำหอมโทนนี้มาถึงทุกวันนี้ ยกดาวให้ทั้งฟ้าเลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://howtospendit.ft.com/womens-style/203072-seven-scents-with-spring-clean-spritz