วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Givenchy - Insense Ultramarine

Givenchy - Insense Ultramarine

น้ำหอมชายของ Givenchy ที่เราๆ น่าจะรู้จักกันดีและได้รับความนิยม เรียกว่ามีหลาย Collections เลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น pour Homme, Pi, Gentleman, Gentleman Only, Xeryus, Play และสาย Classic แต่มีอยู่อีกหนึ่งที่ได้รับความนิยมแบบเรื่อยๆ และได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียวในช่วงปี 90 ถึง 2000 นั่นก็คือ Insense Collection ที่เปิดตัวในปี 1993 กับการเป็นสาย Classic Aromatic Fougere กับรุ่นเบิกทางอย่าง Insense 

แต่เหตุหักมุมก็เกิดขึ้นในปีต่อมา (1994) เพราะรุ่นที่เป็น Flanker ออกมาอย่างต่อเนื่องอย่าง Insense Ultramarine ที่แตกหน่อ ออกมาเข้าสู่โทนการเป็นสายสดชื่นแบบกลิ่นอายทะเลตามยุคสมัยนิยมผสมผสานกับโทนทีมของรุ่นบุกเบิกดันออกมาแล้วได้รับความนิยมเกินหน้าเกินตารุ่นบุกเบิก จนกลายเป็นรุ่นที่แตกสายเป็นของตัวเองด้วยการมีลูกหลานสาย Ultramarine ตามมาอีกเพียบ ทิ้งให้รุ่นบุกเบิกค่อยๆ หายไปจากตลาดซะงั้น เช่นนั้น รุ่นนี้มีดีอย่างไงต้องเล่าแล้วล่ะ 

เปิดตัวด้วยกลิ่นอายสดชื่นกันก่อนเลย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะไม่ได้เอาความเป็นโทน Citrus เด่นนำนัก แต่ให้ความเป็นโทนผลไม้ติดฉ่ำๆ อย่างแตงโมเป็นตัวเดินกลิ่นแทน โดยจะให้ความเป็นโทนลูกผสมที่จับต้องความเป็นแตโมออกทางติดฉ่ำสดชื่นหอมแต่ไม่ได้ถึงกับหวานฉ่ำ เพราะจะมีกลิ่นออกทางเขียวติดขมคมๆ ผสมกับกลิ่นออกทางผลไม้เบอร์รี่สีเข้มที่ให้ความเปรี้ยวอมหวานติดแอมโมเนียนิดๆ ที่สร้างออร่าความเป็นน้ำหอมกลิ่นออกทางแมนๆ อย่างแบล็คเคอร์แรนท์ ที่ทำให้กลิ่นในช่วงต้นสร้างออร่าของความสดชื่นที่เด่นกับความเป็นผลไม้และมีความเป็นน้ำหอมผู้ชายกันอย่างชัดเจน ที่สำคัญให้โทนกลิ่นออกทางสีฟ้าสว่างๆ ติด Aquatic ตั้งแต่เริ่ม แอบติดโทน Sport หน่อยๆ เสียด้วย

เพียงไม่นานจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโทนเขียวติดปร่าที่สร้างความสว่างให้เนื้อกลิ่นเข้ามาอีกอย่างมินต์ที่จะสร้างความสดชื่นติดเขียวปร่าแบบพอเหมาะสอดรับกับกลิ่นโทนสดชื่นผลไม้ฉ่ำแมนได้อย่างลงตัว แล้วกลิ่นจะเริ่มมีการปรับเปลี่ยนอย่างน่าสนใจมากในการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอม นั่นคือ กลิ่นเริ่มจะมีโทนดอกไม้เข้ามามากขึ้นตามลำดับ จนเทคโอเวอร์เต็มตัวในช่วงกลางได้เลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ถีบหัวส่งโทนสดชื่นสีฟ้า เพียงแต่ลดบทบาทลงมาเป็นสายสนับสนุนที่ยังคงสร้างโทนสดชื่นในเนื้อกลิ่นอยู่ตลอดยาวไปจนถึงต้นช่วงท้ายเลยเสียด้วยซ้ำ ซึ่งกลิ่นโทนดอกไม้ที่กลายเป็นตัวนำโทนในช่วงกลางคือ ดอกไอริส ที่เสริมด้วยกลิ่นอายของคาร์เนชั่นที่ให้โทนปร่าติดเขียวนุ่ม ทำให้กลิ่นไม่ได้ไปเป็นโทนแป้งแต่อย่างใด และเนื้อกลิ่นมีลักษณะของเครื่องเทศโทนหวานเผ็ดเย้าอ่อนๆ มาเร้าๆ จมูกรวมอยู่ด้วย เมื่อมาเจอกับโทนสดชื่นผลไม้ที่ตามมาจากจอนต้น กลิ่นเลยจะให้ความ Airy กึ่ง Aquatic ที่ให้โทนสีฟ้าแต่มีความเซ็กซี่ประปรายในเนื้อกลิ่นอยู่ตลอด เรียกว่าตรงนี้แหละ ที่มีความแตกต่างจากโทนน้ำหอมสายกลิ่นอายติดทะเลที่มักจะได้แต่ความสดชื่นทะเลมันเข้าไป แต่ไม่ได้อารมณ์อื่นๆ ที่สร้างมิติอารมณ์อื่นๆ เท่าไหร่ ถือเป็นไฮไลท์ของน้ำหอมรุ่นนี้ได้เลย และเมื่อโทนความสดชื่นผลไม้แมนๆ กับความเป็นแตงโมเริ่มหลงเหลือเพียงเบาบาง แต่เป็นการเปิดตัวเอากลิ่นอายโทนหญ้าแฝก และยาสูบขึ้นมามีบทบาทแทน ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นโทนดอกไม้ไอริสและความปร่านุ่มจะกลายเป็นสายสนับสนุนรองใจดีที่ให้ความนวลติAiry แต่กลิ่นยังชัดและจับต้องได้อยู่ แถมแอบค่อนไปทางสายสบู่สะอาดๆ ติดทึบมีเสน่ห์เสียด้วย ซึ่งจะเป็นตัวดันดาราให้กลิ่นอายโทนหวานอะโรม่าสบายๆ ของยาสูบเคล้ากับกลิ่นติดไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝกและไม้ซีดาร์โปร่งๆ มีความเรื่อยๆ สบายๆ แต่เย้ายวนในทีแบบที่ไม่โจ่งแจ้ง ซึ่งช่วงท้ายเรียกว่าเป็นการปรับโทนความแมนจากตอนต้นที่เป็นมาสู่ความเป็นโทนผู้ชายทันสมัยที่มีเสน่ห์ แถมด้วยกลิ่นอายบรรยากาศสบายๆ ล้อมอ่อนๆ ได้อย่างลงตัวและดีงามเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปสามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นมีลูกเล่นไล่เรียงโทนกลิ่นที่ไม่เหมือนน้ำหอมสดชื่นทะเลตัวไหนเลย แถมยังมีเสน่ห์เฉพาะมากอีกด้วย ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นมีทั้งความ Sport ก็ได้ ทะเลสดชื่นก็ดี ติดมีเสน่ห์ปนเนี้ยบหน่อยๆ ก็เหมาะ เรียกว่าขวดเดียวได้แทบทุกงานลามไปถึงออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งได้สบายมาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า เน้นเรื่อยๆ มาเรียงๆ แต่เอาอยู่ เพียงแต่จะไปสู้กับพวกอวลแน่นปล่อยพลังจัดเต็มได้ยากหน่อยก็เท่านั้นเอง 

ความทน - ดีเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. ซึ่งจะมีบวกลบบ้างก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมากลางๆ เรื่อยๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในที่สุด พอพ้นซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็น Skin Scent ในที่สุด

สรุป - Insense Ultramarine เปรียบเสมือนเป็นน้ำหอมที่ Unique มากในยุคนั้น แต่ถ้ามองจากมุมในยุค 2010 นี้ น้ำหอมตัวนี้เหมือนบอกเล่าอนาคตโทนกลิ่นจากสดชื่นสไตล์ 90 มาสู่กลิ่นอายสไตล์ยุค 2000 ที่เริ่มมีโทนเซ็กซี่กำลังดี ตามด้วยยุค 2010 ที่สร้างออร่าความเย้ายวนทันสมัยแบบเนียนๆ สบายๆ ในกลิ่น ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมกลิ่นนี้ยังคงอยู่ยืนหนึ่งใน Collection - Insense ที่ยังคงได้รับความนิยมมาเสมอ แบบที่รุ่นตั้งต้นกับรุ่นหลานๆ สาย Ultramarine ก็ค่อยๆ หายไปตามลำดับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.amazon.com/Givenchy-Insense-Ultramarine-Ounce-Spray/dp/B00021AWV4

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Creed - Viking

Creed - Viking 

หลังจากที่ Aventus ประสบความสำเร็จมหาศาลมาก จนทำให้ Creed เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมมากๆ ในผู้ผู้ใช้น้ำหอมทั้งใหม่และเก่า จนเรียกว่ากลายเป็นหนึ่งในกลิ่นอายมหาชนที่มีตัวคล้ายเกิดขึ้นเพื่อเจริญรอยตามความสำเร็จอย่างมากมาย และแม้ว่า Creed จะออกน้ำหอมชายมาใหม่อีกกี่รุ่นตามหลังก็ไม่สามารถขึ้นไปยืนเทียบเท่า Aventus ได้ง่ายๆ เลย และได้มาถึงน้ำหอมชายรุ่นล่าสุดอย่าง Viking ที่เกิด
กระแสขึ้นอย่างมากก่อนจะออกใหม่ว่าจะเป็นหนึ่งในตัวหลักของแบรนด์ได้หรือไม่ในด้านของกลิ่น เช่นนั้นเมื่อวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2017 และได้ทดลองใช้มาพอสมควร ในด้านของกลิ่นก็สามารถเล่าออกมาได้แบบนี้ว่า 

เปิดต้นกลิ่นมาด้วยความเป็นโทน Citrus ที่ติดสว่างปนกลิ่นอายเย็นๆ กันก่อนเลย ซึ่งกลิ่นของเลมอนที่ให้ความเปรี้ยวสว่างและติดหวานปลายกลิ่นจะเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นก่อนใครเพื่อน แต่กลิ่นจะไม่ได้แหลมคมแต่อย่างใด เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีความเปรี้ยวขมปนเขียวติดโทนแห้งที่มีโทนปร่าอ่อนๆ ติด Spicy ตามขนบโทนกลิ่นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และจะมีความเป็นโทนอะโรม่าเจือความปร่าอ่อนๆ เย็นๆ ติดโทนกุหลาบ รวมถึงจับต้องความเป็นโทนสมุนไพรอ่อนๆ ที่สร้างความอะโรม่ากำลังดี ทำให้กลิ่นเปิดจะเป็นโทนสดชื่นติดเรียบหรูปนสะอาดที่มีระดับกันก่อนเลย รวมถึงสื่อสารได้ชัดถึงกลิ่นอายแบบสุภาพบุรุษที่คาบเกี่ยวระหว่างโทน Classic กับ Modern และค่อนไปทางสาย Barber Shop Scent ชัดเจน แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายติดโทนเค็มๆ ติดอวลไม้หอมแห้งๆ หน่อยๆ ที่แฝงในเนื้อกลิ่นในสไตล์ของโทนกลิ่นของสารหอม Ambroxan แต่ไม่ได้โดดหรือเด่นออกมาจนโจ่งแจ้ง ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นการสร้างอัตลักษณ์ได้ดีในการบอกถึงการเป็น Viking ที่มีความเกี่ยวข้องกับทะเลได้อยู่ 

เพียงไม่นานกลิ่นจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนแต่เชื่อมต่อทอเป็นผืนเดียวกันกับช่วงต้นได้เป็นอย่างดี โดยที่ผู้เล่นหลักจะเปลี่ยนเป็นโทน Icy เย็นๆ ซ้อนกับกลิ่นนวลปร่านุ่มปนกลิ่นออกทางทะเล แต่ยังมีความอะโรม่าปนสดชื่นสะอาดที่สร้างความเป็นสุภาพบุรุษในเนื้อกลิ่น ซึ่งโทน Citrus ตอนต้นจะยังตามมาแต่ผ่อนลงมากลายเป็นผู้สนับสนุนรองที่สร้างความสดชื่นเรียบหรูอยู่ในกลิ่นต่อเพียงแต่ความเป็นเลมอนจะหายไปคงเหลือแต่ Bergamot ที่ชัดเจนและเป็นตัวเชื่อมโทนที่ดีมากกับสาย Fresh Spicy เย็นๆ ที่มาจากมินต์ที่จะมีทั้งความเขียวปร่าโล่งจมูกในสายสมุนไพรที่เด่นขึ้นมาพร้อมกับความปร่านุ่มของโทนพริกไทยที่เป็นตัวรองพื้นสร้างออร่าความสะอาดนวลปร่าแต่ไม่แน่นปนกับความปร่าอวลไม้หอมแห้งและโทน Ambroxan ที่ให้ความเค็มนวลบางๆ ในกลิ่นสร้างความเป็นโทนคล้ายผิวกายติดเค็มอ่อนๆ ตามธรรมชาติได้เป็นอย่างดี โดยที่จะมีตัวสร้างอะโรม่าให้เนื้อกลิ่นจากกลิ่นกุหลาบที่ไม่ได้มาแบบแห้งๆ หรือว่าใสหวาน แต่จะคุมโทนออกทางสบู่ติดกุหลาบนวลอ่อนเจือโทนนวลค่อนไปกึ่งสมุนไพรปนอะโรม่าของลาเวนเดอร์ที่เนียนๆ อยู่ในกลิ่น และเมื่อลาเวนเดอร์เจอกับพริกไทยและ Citrus จะได้ลักษณะโทนกลิ่นที่บางวูบเป็นทะเลหน่อยๆ เข้ามาด้วย ซึ่งช่วงกลางนี้จะได้ภาพรวมของกลิ่นออกทาง Icy ติดทะเลเย็นๆ กับความเป็นสุภาพบุรุษสะอาดมีระดับเรียบหรูร่วมสมัยได้ชัดเจนมากและจะยาวไปจนถึงช่วงท้ายกลิ่นที่จะเริ่มเป็นกลิ่นอายสายไม้หอมที่มีความสะอาดนวลและมีความแห้งในระดับหนึ่งที่มาจากไม้จันทน์หอมและหญ้าแฝก คุมโทนกลิ่นด้วยโทนอวล Ambroxan อ่อนๆ และมีความเป็นโทนสดชื่นจากสายสมุนไพรที่ให้ความเขียวสะอาดกลางๆ กำลังดี โดยจะจับต้องได้ถึงกลิ่นลาเวนเดอร์และพิมเสนที่ให้ออร่าติดโทน Classic สุภาพบุรุษให้กับเนื้อกลิ่น ทำให้เลเยอร์การรับกลิ่นจะผสมผสานกันจับต้องได้ถึงความสะอาดติดสดชื่นอ่อนๆ ไปสู่กลิ่นอายนวลไม้หอมติดเค็มผิวกายบางๆ โดยกลิ่นอายจะมีโทนเย็น Icy ประปรายแบบลงตัว มีระดับ และคุมโทนสุภาพบุรุษได้ดีตั้งแต่ต้นยันท้ายได้อย่างสมดุลย์เลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ได้แล้ว เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายเรียกเรตติ้งแบบ Aventus แน่นอน ออกแนวมาสายคุณชายสุภาพบุรุษมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ที่เรียบหรูกำลังดีเสียมากกว่า แบบหวีผมเรียบแปล้ด้วย Pomade แต่ตัวเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้าน แต่มีกิมมิคจากกลิ่นแนว Icy ทะเลอ่อนๆ อะไรประมาณนี้ ซึ่งใส่ได้แบบกวาดหมดเสียด้วยในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน เพราะกลิ่นมีโทนที่ครอบคลุมการใช้งานได้ดีมาก ขนาดใส่ออกกำลังกายยังได้เลย (แต่มันแพงนะ เปลือง) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อออกงานหรือทั่วๆ ไปจะดีกว่า ตัดทิ้งการใส่ไปท่องราตรีเต้นรากแตกได้เลย โดนกลบแน่นอน 

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน ส่วนจะมากกว่านี้หรือไม่ ก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางซักระยะก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป คุมโทนกลิ่นอายสุภาพบุรุษได้เป็นอย่างดีเลย 

สรุป - ถ้าเอา Viking มาเปรียบเทียบเรื่องความหอมกระชากใจและมีความว้าวหรือไม่กับ Aventus บอกเลย ยังไง Viking ก็แพ้ ซึ่งถ้าคาดหวังจะให้ปังและโดดเด่นจัดๆ ก็คงจะผิดหวังกันไป แต่ถ้ามองพิศและมองลึกลงไป กลิ่นนี้มีความเป็น Creed ที่ร่วมสมัยที่มีดีในตัวเองสูง โดยแฝงเอาโทนกลิ่นที่เป็นเทรนด์ของน้ำหอมยุคนี้อย่าง Ambroxan มาผสมผสานเนียนๆ และคุมโทนมีระดับและความเป็นผู้ดีในเนื้อกลิ่นที่เจริญรอยตามกลิ่นอายสายสุภาพบุรุษแนวเดียวกับ Green Irish Tweed หรือตัว Unisex อย่าง Royal Water ก็ยังได้เลย เช่นนั้น ไม่ใช่ Viking ไม่ดีแต่แค่ไม่ได้มาในรูปแบบที่ปังและเอาใจคนชอบสไตล์ Aventus ก็เท่านั้นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.fragrantica.com/news/Creed-Viking-9928.html


วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Zara - Vibrant Leather Cologne

Zara - Vibrant Leather Cologne 

ตามติดกันอย่างต่อเนื่องกับ Vibrant Leather สาย Flanker ที่ออกมาในปี 2019 หลังจากที่ผ่านการเล่ากลิ่นVibrant Leather Oud ไปแล้ว ก็ต้องมาในรุ่นที่ออกมาพร้อมๆ กันอย่าง Vibrant Leather Cologne เพื่อให้จบครบกระบวนท่าการเล่ากลิ่นสำหรับไลน์นี้ที่ปล่อยออกมาในปีนี้ไปเลย ซึ่ง Zara จะนำเสนอออกมาในลักษณะไหน ก็ว่ากันได้ตามนี้เลย 

Citrus จัดเต็มชัดเจนกันตั้งแต่ตอนต้นเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นถือว่าทำได้ดีและมีความเป็นธรรมชาติที่สดชืิ่นเป็นสไตล์ Cologne ที่ชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งกลิ่นจะตรงไปตรงมามากเลยทีเดียวกับการสื่อสารความเป็นมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) ที่ชัดเจนมาก เปรี้ยวเจือขมติดเขียวปร่าอ่อนๆ จากเปลือกมะกรูดชัดเลย แต่ถ้าจับต้องกลิ่นดีๆ มันจะมีความเป็นส้มต่อเนื่องจากมะกรูดด้วย ซึ่งกลิ่นจะเชื่อมโยงต่อกันแบบมะกรูดต่อส้มที่มีความเป็นน้ำส้มติดเปรี้ยวเลยทีเดียว ซึ่งบอกเลยว่ากลิ่นเปิดก็สร้างความ Splash กันเต็มๆ และสร้างความคุ้นเคยมากมายเลย เพราะกลิ่นมีความคล้าย Dior Homme Cologne มากเลยทีเดียว เพียงแต่ไม่ได้ออกทางเปรี้ยวติดขมมะกรูดจ๋าตรงไปตรงมาขนาดนั้น เพราะมีความต่างตรงกลิ่นส้มที่เป็นปลายกลิ่นของโทน Citrus แบบเบาๆ นิดนึงนี่แหละ ซึ่งต้องบอกเลยว่ามะกรูดฝรั่งนี่แหละที่จะอยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย เรียกว่ามีความคุ้มค่ากันเลยทีเดียว 

เมื่อเช้าช่วงกลางกลิ่นโทน Citrus จะเริ่มเบาลงมาหน่อยนึงเป็นโทนออกทางอะโรม่าของ Citrus ที่ให้ความสดชื่นกึ่งฉ่ำกึ่งแห้ง แต่ก็มีความหวานปร่าอ่อนๆ แบบที่ยังสร้างความ Sparkling ซ่าบางๆ ในกลิ่น ซึ่งจับต้องได้ว่าเป็นกลิ่นขิงที่มาแบบเบาๆ กลิ่นเหมือนจะมีอยู่แค่นี้ แต่จริงๆ มีกลิ่นอายสารหอมที่เป็นลูกครึ่งระหว่างความเป็น Citrus กับดอกไม้ขาวแนวมะลิรองพื้นอยู่ซึ่งน่าจะเป็น Hedione ที่ทำให้ช่วงนี้มีลักษณะออกทางดอกไม้ขาวอ่อนๆ คลออยู่เป็นฉากหลัง แบบที่จะได้กลิ่น Citrus ตามด้วยปร่าหวานอ่อนๆ และสดชื่นติดดอกไม้ใสๆ ที่เป็นปลายกลิ่น โดยที่ยังให้กลิ่นโทน Citrus ของมะกรูดฝรั่งเป็นตัวนำ On Top ให้รู้สึกได้ตลอด จนเมื่อเริ่มมีกลิ่นอายโทนไม้หอมโปร่งๆ เสริมเข้ามาหน่อยๆ เบาๆ และมีกลิ่นโทน Musk ที่โปร่งๆ ไม่ได้นวลเพราะมีความซีทรูในกลิ่นอ่อนๆ เสริมเข้ามาทีละหน่อยจนเริ่มชัดเจน ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอ ซึ่งแน่นอนกลิ่นโทน Citrus จะยังอยู่ แต่จะเป็นโทนแห้งๆ ติดสะอาดๆ และมีความโปร่งของไม้หอมที่น่าจะมาจากสารหอมที่ให้โทนไม้โปร่งๆ อย่าง ISO E Super และอาจจะมีไม้จันทน์หอมหน่อยๆ ให้พอจับต้องเบาๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยตั้งแต่ ม.ต้น ก็สามารถใช้กลิ่นได้ได้สบายมาก กลิ่นเข้าถึงง่ายสุดๆ และทำกลิ่นได้ดีเป็นธรรมชาติได้เลยทีเดียว ฉีดแล้วสดชื่นแน่นอน ซึ่งใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย จัดไป สาดได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นจะให้ความสดชื่นแบบ Cologne ที่ฉ่ำ ชื้น และแห้งเป็นสเต็ปที่ลงตัว ที่สำคัญเอาไปเป็นน้ำหอมที่ฉีดเพื่อออกกำลังกายเลยก็ยังได้ เพราะกลิ่นเข้าทางสุดๆ ในการสร้างความสดชื่น แต่ไม่รบกวนใครมากอีกด้วย ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายยั่วยวนอะไรและไม่ได้ปล่อยพลังนัก ใส่ไปท่องราตรีเต้นในคลับบอกเลยว่า พลาดโดนกลบแน่นอน 

ความทน - สูงสุดที่เจอคือ 6 ชม. ต่ำสุดที่เจอแบบเหงื่อออกซึมๆ ตลอดคือ 3 ชม. ซึ่งก็ว่ากันไปตามสภาพอากาศสภาพผิว และจำนวนสเปรย์ รวมถึงจุดที่ฉีดด้วย ซึ่งที่เจอทนสุดก็เพราะฉีดเสื้อที่สวมร่วมด้วย รวมทั้งหมด 7 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ถึงกับพูดออกมาเลยว่า นี่แหละสไตล์ Cologne แล้วจะลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป จนเมื่อผ่านไปซัก 3 ชม. เริ่มเป็น Skin Scent 

สรุป - ใช่เลยมันใกล้ความเป็น Dior Homme Cologne ม๊ากมาก แต่ก็ไม่ได้เหมือนแบบทุกเม็ดขนาดนั้น มีความต่างบ้างนิดหน่อย แต่ยังไงกลิ่นแบบนี้ สดชื่นแบบนี้ ยังไงก็รอดแถมแฮปปี้ได้ไม่ยาก แต่นิดนึงกลิ่นน่ะตรงปกเฉพาะแค่คำว่า Vibrant กับ Cologne ส่วน Leather อยู่ไหนก็ไม่รู้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Zara/Vibrant_Leather_Cologne

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Zara - Vibrant Leather Oud

Zara - Vibrant Leather Oud 

ไม่เด่นไม่ดัง จะไม่หันหลังกลับไปแต่เมื่อดังแล้ว ก็ต้องมีลูกมีหลานออกมาสิจะได้ต่อยอดไปยาวๆ Vibrant Leather ก็เช่นกัน มีการต่อยอดหลังจากเอามาผลิตใหม่เป็น EDP ในปี 2018 ก็มาสู่รุ่นลูกๆ ที่ตามออกมาติดๆ ในปี 2019 อีก 2 รุ่นทันทีอย่าง Vibrant Leather Cologne ที่มาในสไตล์สดชื่นสุดๆ กับ Vibrant Leather Oud ที่มาในสาย Unisex เช่นนั้นมาพร้อมๆ กันขนาดนี้ เราก็ไม่โกง ก็ต้องเล่ากลิ่นต่อกันเลยสิ เช่นนั้นขอเริ่มที่สาย Oud กันก่อนแล้วกันว่าจะออกมาในลักษณะไหน

Vibrant Leather Oud เปิดตัวมาด้วยความเป็นกลิ่นอายสไตล์ต้นตำรับแต่ไม่ได้มาแบบ Citrus ปน Fruity จ๋าๆ ชัดๆ แบบนั้น แต่จะมีกลิ่นอายของโทนออกทางปร่า Spicy ที่มีความกลมๆ กำลังดี พร้อมกับกลิ่นที่ออกทางโทนหนังปนกลิ่นธูปที่ไม่ได้ถึงกับหนาเข้มมากรองพื้นอยู่ ซึ่งถือว่าจะได้อารมณ์ 2 สเต็ป คือ โทนสไตล์แบบ Vibrant Leather EDP เดิมที่เด่นทาง Citrus ติดผลไม้ที่ออกทางแบล็คเบอร์รี่และสับปะรดเนื้อขาวที่มาในวูบแรก และกลิ่นโทนหนังที่ติดออกทางเข้มๆ ปนปร่าเจือความนวลดาร์กจะมารองพื้น ให้ได้มิติของกลิ่นที่น่าสนใจมาก และมีความคุ้นเคยบางอย่างกับกลิ่นพอสมควร จนเมื่อเข้าช่วงกลางจึงได้รู้ว่า 

ความคุ้นเคยนี้เราเคยเจอมาใDior Fahrenheit มาก่อนนี่นา เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้แมนจัดชัดเจนจัดเต็มหนักหน่วงกล้ามแน่นเลย กลิ่นจะเบาลงและไม่ได้หนาแน่นมาก ค่อนมาหนังที่มีความเข้มกำลังดี Animalic แต่ไม่สาบห่ามเพราะกลิ่นจะติดสะอาดปนปร่ากลมกล่อมแบบที่ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะน่ากลัว และมีพลพรรคโทนธูป Incense เข้ามาเสริมให้ความนวลปน Smoky นุ่มๆ ปนปร่า ทำให้กลิ่นจะมีเสน่ห์ที่ดึงดูดและลึกลับกำลังดี ซึ่งตรงนี้ถือว่าเกินคาดกับโทนกลิ่นที่สร้างออร่าน่าค้นหาแบบที่ไม่หนักหน่วงแต่เอาอยู่ ทำให้ได้ทั้งความรู้สึกคุ้นเคยแบบ Fahrenheit และแตกต่างดึงดูดเนียนๆ ในเวลาเดียวกัน รวมถึงทำให้ลุ้นไปด้วยว่า Oud ล่ะ อยู่ไหน? และจะมาไหมเนี่ย ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปซักระยะ Oud เราก็ได้เปิดตัวขึ้นมาแบบค่อยเป็นค่อยไป แน่นอนว่ากลิ่น Oud จะไม่ได้แบบ Oud แรงแขกจ๋ามาหนักแต่อย่างใด ออกทาง Smoky ควันไออ่อนๆ เสียมากกว่า และมีลักษณะเป็น Oud Accord ที่ผสมผสานโทนกลิ่นหลายอย่างๆ มาจนกลายเป็นกลิ่นที่ใกล้เคียง Oud ติดควันแทน ทำให้ช่วงกลางเลยกลายเป็นโทนกลิ่นที่หอมน่าค้นหามากขึ้นไปอีก โดยยังคุมโทนกลิ่นที่ไม่หนักเกินไปกำลังดีไปตลอด จนกลิ่นโทนหนังในช่วงกลางเริ่มผ่อนลงมาในระดับหนึ่ง กลิ่นก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม ซึ่งคราวนี้กลิ่นอายสไตล์ Vibrant Leather ในช่วงท้ายของตัว EDP ก็เริ่มกลับมาให้จับต้องได้อีกรอบ เพราะจะเป็นกลิ่นออกทางไม้หอมอ่อนๆ โปร่งๆ เคล้ามีพิมเสนบางๆ ปนกลิ่นออกทางผลไม้แนวสับปะรดเบาๆ เนียนๆ พอมาผสมผสานกับกลิ่นหนังที่ลดความเข้มลงมาแต่มีความ Smoky อ่อนๆ ที่ยังประปรายอยู่ ยิ่งทำให้ได้ความ Sexy + น่าค้นหา + Cool ได้อย่างลงตัวคลอผิวไปเรื่อยๆ แถมยังแอบมีความคล้ายไพล่ไปที่ Aventus หน่อยๆ แบบปลายกลิ่นเนียนๆ มาเสียด้วย 

เหมาะสำหรับ - ก็ Unisex แหละ เพียงแต่จะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อย เพราะลักษณะที่คล้าย Dior Fahrenheit บางส่วนของกลิ่น แต่ถ้าผู้หญิงไม่มายด์ใส่ตัวนี้ก็ทำให้ลุคน่าค้นหาปน Sexy ไม่หยอกได้เลย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะมากไปเดี๋ยวช่วงกลางจะทำให้รู้สึกอึนๆ เอาเสียก่อนจากกลิ่นโทนหนัง โดยสามารถใส่ได้ทั้งยามทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ตัดออกไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยจัดไป ใส่ไปท่องราตรี ออกงาน โรแมนติค เดินเที่ยวเล่น ได้หมด กลิ่นมีความอวลเย้าเร้าใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. อาจจะมีบวกลบบ้างก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. กำลังดี 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แบบที่อาจจะทำให้งงๆ กันก่อนว่ากลิ่นจะเอายังไง แต่พอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะลดทอนลงมากระจายปานกลางยวนเย้าไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่ให้ความ Sexy และเท่ห์ไปเรื่อยๆ ซึ่งพอพ้นซัก 6 ชม. ถึงค่อยๆ เริ่มเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - แม้ว่า Oud จะไม่ได้เด่นจัดชัดเจน เน้นเอาใจสาย Oud เฮฟวี่เมทัลนัก (ก็ราคาพันต้นๆ ต้องการกลิ่น Oud แท้แน่นนัวลึกและธรรมชาติจ๋าๆ คงไม่มีหรอก) แต่กลิ่นนี้ก็ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่ Zara ทำออกมาได้ดี และเอาความดีงามของรุ่น EDP มาแตกหน่อใหม่ปนกับโทนดังขอFahrenheit จนได้เป็นกลิ่นที่น่าสนใจแลSexy ดึงดูดมากเลยทีเดียว 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Zara/Vibrant-Leather-Oud-53691.html

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Zara - Vanilla French Elegance

Zara - Vanilla French Elegance 

ถ้าให้เปรียบเทียบการผลิตและการวางจำหน่ายน้ำหอมที่ต่อเนื่อง เสมือนเป็นครอบครัวหนึ่งที่มีพ่อแม่เป็นเจ้าของแบรนด์ เช่นนั้น Zara เองเรียกว่าลูกดกจริง อะไรจริง เพราะออกน้ำหอมใหม่ตลอด มีของใหม่มายวนใจเสมอ เดือนนึงเดินไปดูมีออกใหม่ตัวนี้ อีกเดือนเดือนไปดู อ้าวมีใหม่มาอี๊ก พอเว้นไปซัก 3 เดือน ไปดูอีกที มาใหม่เพียบเต็มไปหมดทั้ง Collection ปกติที่มีอยู่เดิมและใหม่ใสิ๊ง ถ้าตามเก็บน้ำหอมแบรนด์นี้ทุกรุ่นเรียกว่าเตรียมห้องไว้เก็บเฉพาะเลยน่าจะง่ายกว่า 

และหนึ่งใน Collection ที่ออกมาวางจำหน่ายเมื่อปี 2018 ท่ามกลางน้ำหอมใหม่มากมายของแบรนด์อย่าง The Natiurals ก็เป็นการฉีกออกมาทำกลิ่นอายสายพิเศษที่มาแนวเดียวกับการเจาะ Note กลิ่นประเภทนั้นๆ ตามสไตล์กลิ่นอายแบบ Exclusive หรือ Niche Perfume ซึ่งก็มีมาทั้งหมด 4 รุ่นที่แยกความแตกต่างของโทนกลิ่นได้อย่างชัดเจนทั้งเครื่องเทศ ดอกไม้ แป้ง และไม้หอม เช่นนั้นสบโอกาสจัดมากับกลิ่นอายสายแป้งที่บอกเล่าว่าเป็นโทน Unisex อย่างรุ่น Vanilla - French Elegance ก็ต้องมาถ่ายทอดกลิ่นกันหน่อยว่าแบรนด์จะสื่อสารความเป็นธรรมชาติออกมาอย่างไรบ้าง 

Top Notes เป็นการเปิดตัวด้วยกลิ่นโทนส้มติดปร่าซ่าหน่อยๆ กันก่อน แน่นอนว่ากลิ่นจะได้อารมณ์แบบส้มแนวๆ น้ำอัดลมหน่อยๆ ซึ่งจะสัมผัสได้ถึงโทน Citrus ที่นอกจากส้มแล้วจะมีกลิ่นติดปร่า Spicy ติดขมปนเขียวอ่อนๆ หน่อยๆ แนวมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เข้ามาร่วมด้วย แต่สิ่งที่เสริมขึ้นมาอย่างรวดเร็วเลยคือกลิ่นโทนวานิลลาที่จะไม่ได้เป็นกลิ่นแบบสายขนมแต่อย่างใด จะให้ความเป็นวานิลลาค่อนไปทางไม้หอมหน่อยๆ ที่จะกลายเป็นผู้เล่นหลักของน้ำหอมรุ่นนี้แบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย 

Middle Notes เมื่อโทน Citrus ทั้งหลายต่างหมดฤทธิ์ คราวนี้วานิลลาจะมีลูกคู่ในการสร้างความนวลละมุนติดออกทางแป้งอัลมอนด์หน่อยๆ ค่อนไปทางดอกไม้นวล ซึ่งกลิ่นจะไม่หนักนัก ซึ่งรู้ได้ไม่ยากว่าเป็นกลิ่นของดอกเฮลิโอโทรเป้ที่จะให้โทนแป้งออกทางอัลมอนด์ที่มีกลิ่นเบาๆ สไตล์ดอกไม้เป็นตัวเสริมความละมุนปนหวานกำลังดี ซึ่งสอดรับกับวานิลลาติดไม้หอมหน่อยๆ ทำให้กลิ่นจะมีความนุ่มนวลปนหวานที่สมดุลย์เลยทีเดียว และยังมีกลิ่นโทนออกทางอบอุ่นติด Smoky บางๆ ในเนื้อกลิ่น เลยทำให้กลิ่นจะเริ่มมีลักษณะค่อนไปทางกลิ่นออกทางโทนขนมหน่อยๆ นอกจากความนวลครีมละมุน 

Base Notes งานแป้งต้องมา เพราะว่าช่วงท้ายจะเป็นโทนที่ชัดเจนถึงการเป็นกลิ่นอายสายแป้งนวลวานิลลาอย่างชัดเจนมาก กลิ่นโทนคล้ายขนมเริ่มหายไปเป็นแป้งนวลอุ่นที่มีกลิ่นโทนไม้หอมครีมอ่อนๆ ซึ่งน่าจะเป็นโทนไม้จันทน์หอม โดยที่กลิ่นที่ On Top จะมีความเป็นแป้งโปร่งหวานเรื่อยๆ มาเรียงๆ มากขึ้น แต่ถ้าดมใกล้ๆ จะยังสัมผัสได้ถึงความนวลกำลังดีของวานิลลาติดไม้หอมครีมปน Smoky อ่อนๆ พ่วงความ Musky หน่อยๆ ที่รองพื้นให้กลิ่นมีความเป็นโทนสว่างครีมอยู่ด้วย 

เหมาะสำหรับ - เป็น Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงราวๆ 65% ได้ เพราะกลิ่นมีลักษณะออกทางแป้งหอมดอกไม้เจือวานิลลา แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้ได้สบายมาก เพราะว่ากลิ่นไม่ได้ไปสายปล่อยพลังนัก ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทั้งทางการและทั่วๆ ไป จะมีก็แต่ใส่ออกกำลังกายที่ควรข้ามไปเถอะ เดี๋ยวจุกคอหอยเอา เพราะวานิลลาไม่ได้เข้ากับการบึ้ดจ้ำบึ้ดให้ได้เหงื่อนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไป หรืออกทางโรแมนติคจะดีกว่า เพราะกลิ่นเบาไปในการใช้เพื่อไปท่องราตรี 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. บวกลบที่ 2 ชม. ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. ได้สบายมากกับ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางซักพัก ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปถึงช่วงท้าย พอพ้นซัก 6 ชม. ถึงเป็น Skin Scent 

สรุป - มาสายมินิมัล เน้นน้อยแต่กำลังดี เรียบแต่โก้แบบกลางๆ ให้ความหอมสื่อสารกันตรงๆ ถึงโทนวานิลลาและโทนแป้งอบอุ่นละมุนๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนหักมุมอะไรให้เสียเวลา ที่สำคัญกลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งโทนวานิลลาที่ไม่ได้ปล่อยพลังอลังการ ก็สามารถใช้ได้กับอากาศร้อนตับแล่บบ้านเราได้ไม่ยาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Zara/Vanilla-French-Elegance-51732.html

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Zara - Blue Hole

Zara - Blue Hole 

เพราะออกน้ำหอมบ่อย ออกน้ำหอมใหม่เก่งมาก ออกให้รัว ก็เลยมี Collection ใหม่มามากมายในแต่ละปีให้จำไม่หวัดไม่ไหว เพราะมาแล้วก็ไป หมดแล้วก็จบ ถ้าความนิยมมีสูงมากก็จะได้กลับมา นี่แหละ Zara แล้วมาในปี 2019 นี้ ก็เหมือนเดิมออกใหม่ให้รัว จนเมื่อยืนงงในดงน้ำหอม Zara อยู่พักนึง ก็ได้เห็น Collection - Blue 2019 ที่มีน้ำหอมอยู่ 2 รุ่น ที่สะดุดตาอย่างมากกับชื่อรุ่นว่า Blue Hole (หลุม/ร่อง/โพรง/ช่องสีฟ้า อะไรก็ตามเหอะขอเรียก ร่องแล้วกัน) ก็อยากส่องร่องบ้างอะไรบ้าง เลยจัดไปอย่าได้เสีย ซึ่งก็ได้พิสูจน์จนรู้ว่ากลิ่นร่องสีฟ้าเป็นแบบนี้เลย 

เปิดมาก็ Citrus Bomb กันได้เลย เพียงแต่จะไม่ได้มาแบบจัดหนักจัดเต็มคมแปล๊บบาดพุ่งเสยทะลุจมูกอะไรนัก เพราะเนื้อกลิ่นเป็น Citrus โทนสว่าง ที่ให้ความเปรี้ยวสดชื่นเจือปร่าซ่าหน่อยๆ ให้รู้สึกซาบซ่า Sparkling โดยกลิ่นจะติดหวานปลายๆ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่ชัดเจนมากของกลิ่นอายโทนเลมอนที่จะให้ความรู้สึกแนวๆ นี้ แต่ในเนื้อกลิ่นใช่ว่าจะเลมอนกันโต้งๆ สุดจมูกทุกอณูอะไรขนาดนั้น เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนเปรี้ยวติดขมปนแห้งและมีความ Spicy หน่อยๆ ของ Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) เข้ามาเป็นตัวเสริม ที่สำคัญเนื้อกลิ่นมันจะได้ความรู้สึก Sea Breeze เนียนๆ แบบเป็นพื้นหลังให้ความรู้สึกติดทะเลเบาๆ ไม่มีกลิ่วคาวอะไรมากระทุ้งให้รำคาญใจ แต่มีติดเค็มอ่อนๆ ที่สร้างมิติความเป็นกลิ่นอายทะเลให้พอรับรู้ ก็เลยจับต้องได้ว่ามันต้องมีสารหอมที่ให้โทนแบบนี้อย่าAmbroxan ที่มาแบบสายเนียนในเนื้อกลิ่นเข้ามาด้วย ก็เลยชัดเจนกันพอสมควรถึงโทนสีฟ้าที่เนียนไปกับกลิ่น Citrus ที่เป็นพระเอกหลักของกลิ่นยาวนานไปจนถึงช่วงท้าย

เมื่อผ่านไปซักระยะ สิ่งที่จับต้องได้เพิ่มขึ้นคือ กลิ่นมีความผ่อนตัวลงและมีความเรื่อยๆ มาเรียงๆ มากขึ้น เพราะจะรู้สึกได้ถึงโทนกลิ่นนวลๆ ปนหวานอ่อนๆ และมีความใสๆ เข้ามาประปราย ซึ่งเป็นโทนลักษณะของมะลิ แต่ไม่ได้เด่นนัก เพราะออกแนวมาเกลาให้กลิ่นเปรี้ยวสดชื่นตอนต้นมีความสมดุลย์และสร้างมิติความนวลอ่อนๆ ให้เป็นโทนสะอาดเข้ามาร่วมด้วยประปรายแทน ซึ่งยังคงให้กลิ่นโทน Citrus เด่นเป็นสง่า มีความเป็นสีฟ้าทะเลรองพื้นอ่อนๆ อยู่เช่นเดิม ซึ่งก็เป็นช่วงกลางที่เผินๆ จะไม่ได้รู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลงอะไรนัก แค่กลิ่นเบาลงมาหน่อย สะอาดสว่างมากขึ้นประมาณนั้น แต่จริงๆ มันก็มาสายเนียนเสียมากกว่า และรู้แหละว่าไม่ใช่มะลิแท้ทรูนักหรอก เพราะถ้ากลิ่นมะลิที่มาแบบซีทรูสไตล์นี้ มีความเป็น Citrus ในเนื้อกลิ่นแบบนี้ มันมาจากสารหอมที่เรียกว่า Hedione แหละ แต่มันก็เป็นเรื่องดีในความเสถียรทางกลิ่นที่เราจะได้รับ และทำได้ดีในการเสริมโทน Citrus ให้สว่างและสดชื่นต่อเนื่องแอบนวลสะอาดได้ดีมากเสียด้วย จนเมื่อผ่านไปพอสมควรกลิ่นที่จับต้องได้เพิ่มขึ้น คือ ความคาบเกี่ยวระหว่างโทนไม้หอมแห้งๆ โปร่งๆ สไตล์ไม้ซีดาร์กับความกลิ่นพิมเสนที่ตัดเอาดิบเกลากลิ่นจนกลมกล่อมมีความสะอาดติดหวานอ่อนๆ ใสๆ ซึ่งจะจับต้อง 2 โทนนี้ได้ค่อนข้างชัดมากขึ้นตามลำดับ ก็เลยรู้ได้เลยว่านี่แหละอัตลักษณ์ทางกลิ่นของสารหอมที่ชื่อว่า Clearwood ที่เป็นกลิ่นโทนพิมเสนสะอาดใสๆ ปนกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ซึ่งก็จะเป็นตัวเอกหลักที่เริ่มเข้ามาตีคู่กับโทน Citrus ในตอนต้นที่เริ่มเบาลงมา และจะมีกลิ่นอายโทน Musk บางๆ โปร่งๆ ผสมผสานอยู่ด้วยอ่อนๆ ซึ่งก็เป็นช่วงท้ายปลายทางที่กลิ่นจะให้ความสะอาด สดชื่นกำลังดี มีความสบายๆ กำลังงามแบบยาวไปนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ก็จัดได้แล้ว กลิ่นนี้ใช้ง่ายมากสุด ไม่ซับซ้อน ไม่เยอะสิ่ง เน้นสดชื่น สว่าง สบาย เข้าถึงง่ายรัวๆ แถมเป็นกลิ่นที่มหาชนชอบได้ไม่ยากเลย ใครได้กลิ่นก็สดชื่น ซึ่งใช้ได้หมดกวาดเรียบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทั้งทางการหรือทั่วๆ ไป รวมไปถึงใส่ออกกำลังกายหรือวิ่งแก้ผ้ากระโดดลงคลองก็เอาเลย เต็มที่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่วันอากาศร้อนๆ เพิ่มความสดชื่นจะดีกว่า เพราะกลิ่นเน้นทางนี้ ต่อให้หาความเย้ายวนในกลิ่นให้ตายแค่ไหน ก็ไม่มีจ้ะ ใส่ไปท่องราตรีจะทำได้แค่พูดว่า ได้หมดพี่สดชื่นแล้วก็นิ่งยาวๆ ไปนะ เพราะโดนชาวบ้านที่ใช้กลิ่นสายนัวเย้าเซ็กซี่กลบหมด 

ความทน - อันนี้ดี เพราะเนื่องจากองค์ประกอบมีสารหอมที่มีความเสถียรอยู่พอตัว เช่นนั้นบอกเลยว่ากลิ่นทนได้อย่างน่าปรบมือชื่นชมทีี่ 6 - 8 ชม. อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าความสดชื่นสว่างซาบซ่ามาเต็ม แล้วจะผ่อนลงมาที่กระจายปานกลางไประยะหนึ่ง ก่อนจะเป็นออร่าความสดชื่นรอบๆ ตัวยาวไป พ้นซัก 6 ชม. จะค่อยๆ เป็น Skin Scent ตามลำดับ

สรุป - ร่องสีฟ้าไม่มีอะไรที่ยุบยับซับซ้อน นอกจากเป็นน้ำหอมสดชื่นที่ทนดีงามกับราคาก็งามด้วย อาจจะมีความรู้สึกว่าเหมือนตัวนั้นตัวนี้ไปบ้าง แต่ช่างเถอะ เพราะยังไงใช้ตัวนี้ก็ยืนหนึ่งในเรื่องความสดชื่นอยู่แล้ว คิดมากไปทำไมกัน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.zara.com/es/en/blue-hole-100-ml-p20210060.html

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Monoscent - G Galaxolide Super

Monoscent - G Galaxolide Super 

จาก E Timbersilk ที่ให้กลิ่นอายไม้หอมโปร่งๆ ติดอบอุ่นแบบตรงไปตรงมา ไม่มีโทนอื่นมาเกี่ยวข้องในสไตล์ Monoscent ตามชื่อแบรนด์ ก็ได้เวลาของตัวเอกหลักของแบรนด์อีกหนึ่งรุ่น ที่เอาความเป็นกลิ่นอายสารหอมที่สร้างออร่าความหอมนุ่มสะอาดสไตล์ Musky และเป็นอีกหนึ่งในสายมินิมัลที่ให้กลิ่นอายแบบเสื้อเชิ้ตสีขาวหอมสะอาด ซึ่งมินิมัลแบบตรงไปตรงมา รวมถึงเป็นหนึ่งในสารหอมที่เป็นสายสนันบสนุนชั้นดีในการเป็นสารตรึงกลิ่นให้มีความทนและการกระจายที่ดี แถมเอามาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมในลักษณะ Musk สังเคราะห์มาเป็นเวลานานมากแล้วและมีการปรับปรุงในคุณภาพสารหอมมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งนั่นก็คือ Galaxolide 

ในปัจจุบันจนมีหลายบริษัทที่ผลิตสารหอมต่างก็มีสูตรเป็นของตัวเองกันก็จริง แต่พื้นฐานกลิ่นก็ยังคงเป็นกลิ่นสไตล์ Musky ที่ยังคุมโทนความสะอาดนุ่มนวล (แอบเย้ายวนหรือไม่ว่ากันไปตามเคมีของแต่ละตัวบุคคลเช่นเดิม) ซึ่งสำหรับแบรนด์ Monoscent เองก็เลือกเอา Galaxolide ของ IFF (บริษัทที่ผลิตสารหอมที่เป็นระดับบิ๊กของโลก เช่นเดียวกับที่ Timbersilk ที่เคยผ่านการเล่ากลิ่นไปก่อนหน้านี้) และมานำเสนอเป็นหนึ่งในน้ำหอมของแบรนด์แบบสารหอมตัวเดียวไม่มีไปเสียวกับกลิ่นอื่น ซึ่งนั่นก็คือ G Galaxolide Super

ความเป็น Galaxolide ในน้ำหอมรุ่นนี้จะเปิดต้นกลิ่นด้วยการเป็นโทน Musky ติดกลิ่นแป้งหอมดอกไม้อ่อนๆ เบาๆ กำลังดี มีความหวานหน่อยๆ เจือในกลิ่น ซึ่งกลิ่นจะใกล้เคียวความเป็น White Musk ที่ให้ความนุ่มนวลขาวสว่างสบายๆ แต่จะสัมผัสได้เลยว่ากลิ่นจะไม่ได้มีหนาแน่นของกลิ่นมากนัก ออกแนวโปร่งๆ ใสๆ ซีทรู พลิ้วๆ เบาๆ ตั้งแต่ต้น ซึ่งกลิ่นจะให้ความสะอาดสบายๆ อารมณ์ชัดเจนแบบเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดๆ แต่หลังจากนี้จะเป็นประสบการณ์การดมที่ค่อนข้างเป็นปัจเจกในความเป็นตัวผู้เล่ากลิ่นเอง เพราะเนื่องจากสารหอมตัวนี้จะอิงเคมีในแต่ละตัวบุคคลพอสมควร และจะเน้นที่เวลาที่ได้กลิ่นตั้งแต่ต้นยันจบเป็นสำคัญ 

โดยเมื่อผ่านไปซัก 5 - 10 นาทีแรก กลิ่นจะเริ่มเป็นลักษณะที่เป็น Airy Transparent Musk เพราะจะได้กลิ่นอายสะอาดๆ อ่อนๆ ไปเรื่อยๆ มีความเป็นแป้งหอมหวานเรื่อๆ กลิ่นให้ออร่าความขาวสะอาดแบบบางเบาเป็นเส้นตรงที่ยาวนานไปเลยหลังจากนี้ จนเมื่อผ่านไปซัก 4 ชม. กลิ่นจะเริ่มจมไปกับผิวจนแทบจะไม่สามารถจับกลิ่นที่กระจายออกมาอะไรได้แล้ว ต้องดมที่ผิวล้วนๆ ซึ่งจะได้กลิ่นอายแบบ Soft Musk เบาๆ อารมณ์แบบกลิ่นผิวกายสะอาดๆ เย้ายวนๆ เบาๆ มีความนวลบางๆ ทำให้นึกถึงเวลานอนแก้ผ้าแต่ห่มผ้าบนเตียงสีขาวสะอาดในโรงแรมหรูๆ แล้วพอลืมตาตื่นเช้าแล้วจะเป็นกลิ่นแรกที่รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นผิวกายนวลๆ เคล้ากลิ่นได้กลิ่นผ้าห่ม กลิ่นที่นอนสะอาดๆ ซึ่งจะมาแบบเบาบางๆ ไปเรื่อยๆ อารมณ์จะไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมเท่าไหร่ ออกแนวขับกลิ่นสภาพแวดล้อมและผิวกาย จนเมื่อเอาผิวกายจุดที่ฉีดน้ำหอมไปโดนน้ำ จะมีกลิ่นฟุ้งขึ้นมาอ่อนๆ เป็นกลิ่นโทน Musky ติดหวานนวลขึ้นมาอีกที 

เหมาะสำหรับ - ไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม วัยตั้งแต่ ม.ต้น ก็ใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก ยิ่งสำหรับคนที่ไม่ชอบน้ำหอม แต่อยากให้ตัวเองมีออร่าความสะอาดนวลๆ ไปตลอดก็ใช้ตัวนี้ได้สบายมาก เรียกว่ากลิ่นนี้เกิดมาเพื่อคนที่ไม่ชอบน้ำหอมเลยก็ย่อมได้ ซึ่งสามารถใส่ได้หมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้หมดเลย ซึ่งกลิ่นนี้จะอิงตามเคมีผู้สวมใส่ เช่นนั้นบอกเลยว่าแต่ละคนที่ได้รับกลิ่นจากผู้ใช้จะได้ความรู้สึกของกลิ่นที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประสบการณ์การรับกลิ่นของตัวบุคคลที่ไม่ได้ไปในทางลบ ส่วนกลางคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป เน้นโรแมนติค หรือถ้ามีคู่กันแล้ว ก็ใส่ก่อนนอนเพื่อให้มีคนกอดไปจนถึงเช้าก็เป็นเรื่องที่ดีเลยนะนั่น 

ความทน - อันนี้วัดจากคนเล่ากลิ่นเองล้วนๆ คือ 12 ชม. ที่ยังมีคนทักกลิ่นน้ำหอม แต่ตัวเองรู้ไหม ไม่เลย นึกว่ามันจางไปตั้งแต่ 6 ชม. แรกแล้วเสียด้วยซ้ำ จนเมื่อเอาน้ำถูตรงที่ฉีดน้ำหอม ถึงได้กลิ่นระเรื่อฟุ้งอ่อนๆ มาอีกครั้ง เออ เก๋ดี 

การกระจาย - อันนี้ก็ตอบยาก แต่มันสร้างออร่าให้คนใส่อิงตามประสบการณ์คนที่ได้รับกลิ่น ซึ่งถ้าวัดจากตัวเองจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนช่วงท้ายคือ Skin Scent แต่ถ้าวัดจากคนอื่นๆ ที่ได้สอบถามกลิ่น ก็จะบอกว่าได้กลิ่นเบาๆ ไม่ทำให้รู้สึกรำคาญเลย 

สรุป - จากที่ได้ใช้งานมาอย่างต่อเนื่องบอกเลยว่า นี่คือ Galaxolide เพียวๆ จริงๆ แบบที่จะให้กลิ่นอายทางเดียวไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแต่การได้รับกลิ่นจะอิงไปตามประสบการณ์จมูกของแต่ละตัวบุคคล เพราะหลายๆ คนจะไม่ได้รับกลิ่นอะไรเลยก็ได้ บางคนจะได้รับแค่กลิ่นสะอาดๆ บางคนได้กลิ่นแป้งอ่อนๆ หรือบางคนจะได้แค่ความรู้สึกขาวนวลติดหวานแบบใส่เสื้อผ้าสีขาวสะอาด และบางคนบอกว่ากลิ่นเซ็กซี่แบบสะอาดๆ น่าซุกจัง ซึ่งบอกเลยว่าคนเล่ากลิ่นเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ทั้งได้กลิ่นต่อเนื่องจนจบแบบเบาๆ ในหลายๆ ครั้ง และบางครั้งในหลายๆ ครั้งที่ใช้ก็ไม่ได้กลิ่นน้ำหอมเลยหลังฉีดไปซักพัก แต่กลับกลายเป็นคนอื่นที่อยู่รอบๆ เป็นคนบอกว่าได้กลิ่นอย่างไรจากตัวเรา เออ มันเก๋ตรงนี้แหละ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrantica.asia/perfume/Monoscent/G-Galaxolide-Super-29976.html

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Miller Harris - Rose En Noir

Miller Harris - Rose En Noir 

เริ่มต้นจากการเป็น Exclusive เฉพาะห้าง Liberty ที่ลอนดอน แต่เพราะกลิ่นอายที่สร้างออร่าความเป็นกุหลาบดำได้อย่างมีชั้นเชิงและมีเสน่ห์ของ Rose En Noir ที่ทำให้ Miller Harris นำเอาน้ำหอมรุ่นนี้มาสู่ Collection ปกติในเวลาต่อมาและก็เลิกผลิตเป็นที่เรียบร้อย เช่นนั้นเมื่อมีความพิเศษแบบนี้ก็ต้องลองและเล่ากลิ่นกันซักหน่อยว่า แบรนด์ Niche จาก UK แบรนด์นี้จะสื่อสารความเป
็นกุหลาบดำออกมาในลักษณะไหนบ้าง 

เปิดตัวด้วยความชัดเจนของโทนเครื่องเทศที่มีทั้งความปร่าซ่าของเม็ดผักชี โทน Animalic ติดสาบอ่อนๆ ตามธรรมชาติที่มีความนัวของยี่หร่า และโทน Effect บางอย่างที่ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายโทนแยมติดเบอร์รี่ปนเปรี้ยวเขียวหน่อยๆ แต่กลิ่นไม่ได้จัดจ้านจ๋าฟรุตตี้อะไรนักออกทางลึกๆ และแฝงอยู่ให้รู้สึกได้ แต่ให้ความหวานหน่อยๆ ออกทางสีแดงเข้มเสียมาก แต่มันไม่ได้มีแค่นี้ เพราะกลิ่นที่รองพื้นและเป็นเหมือนพี่ใหญ่คุมโทนกลิ่นนั่นก็คือ กุหลาบ ซึ่งทุกโทนกลิ่นในช่วงนี้ที่ล้อมรอบความเป็นกุหลาบจะสร้างออร่าออกทางติดดาร์ก ปร่า และกึ่ง Velvet กำมะหยี่ที่มีมิติซ้อนกันของกลิ่นได้อย่างน่าสนใจมากโดยไล่จาก ปร่าเผ็ดคมกำลังดี สาบปลุกเร้าแต่ติดหวานแยมนัวๆ และกุหลาบลุ่มลึก ทุกอย่างสร้างอัตลักษณ์ของการเป็นกุหลาบสีเข้มในที่มืดติด Spicy ได้อย่างน่าสนใจมาก 

แล้วเมื่อความอวลปร่าคมๆ ในช่วงแรกเริ่มจางลงไป สิ่งที่จับต้องได้ในช่วงต้นเริ่มที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเพราะกุหลาบแดงกำมะหยี่ในที่มืดในช่วงต้น จะเริ่มแปรสภาพความรู้สึกจากกุหลาบแดงเข้มเป็นกุหลาบดำเจือสีเหลื่อมม่วงมากขึ้น เพราะออร่าความดาร์กของกลิ่นเริ่มจะชัดขึ้นตามลำดับ โดยที่โทนคมๆ ติดเครื่องเทศปน Animalic จะเบาลงไปเหลือเพียงอ้อยอิ่ง ซึ่งจะมีกลิ่นของยาสูบติดแห้งหวานที่เข้ามาให้ความดาร์กโปร่งเคล้ากับกลิ่นปร่านุ่มของพริกไทยเสริมเข้ามาและมีกลิ่นอายออกทางเขียวเจือหวานติดชื้นเล็กๆ ของใบไวโอเล็ตที่ทำให้กลิ่นได้ลักษณะออกทางกำมะหยี่เข้ามาด้วย ทำให้ช่วงกลางคือการผสมผสานที่ลงตัวมากระหว่างการเป็นกุหลาบกับยาสูบที่มีความนุ่มปนกำมะหยี่กับบรรยากาศโปร่งๆ เจือหวานติดปร่าหน่อยๆ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของน้ำหอมรุ่นนี้เลยทีเดียว เพราะสื่อถึงคำว่า Rose En Noir ได้ชัดเจนมาก จนเมื่อความเป็นยาสูบเริ่มเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น และมีโทน Musky ติดออกทางโปร่งปนเมทัลลิคติดเขียวบางๆ แทรกตัวเนียนขึ้นมา ก็เป็นการเป็นเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม ซึ่งจะมีเลเยอร์กลิ่นแบ่งมิติเป็น 3 ส่วนคือ กลิ่นอายโทนยาสูบที่ออกทางแห้งมีความดาร์กโปร่งๆ ปนหวานระเรื่ออยู่ด้านบนสุด ไล่ลงมาตรงกลางที่กลิ่นออกทางแป้งหอมกุหลาบติดปร่าอ่อนๆ นิ่งๆ มีระดับและไม่โฉ่งฉ่าง แล้วปิดท้ายด้วยกลิ่นพิมเสนที่ให้ความหวานติดดินๆ Earthy หน่อยๆ ดึงดูดเย้าจมูกคลอไปกับกลิ่นอายโทน Musk โปร่งๆ ติดเขียวเมทัลลิคที่มาจาก Ambrette (เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ให้กลิ่นโทน Musky แต่ไม่ได้ถึงกับนุ่มแบบ Musk ที่มาจากสัตว์ ซึ่งกลิ่นจะมีความโปร่งมากกว่านวล แต่ยังคุมโทนลักษณะแบบ Musk ที่จะติดผักกึ่งเมทัลลิคบางๆ) ซึ่งนอกจากที่กลิ่นจะมีมิติในการดมแล้ว ยังส่งเสริมกันและผสมผสานกันเป็นอย่างดีมาก โดยที่ยังคุมโทนกลิ่นอายดาร์กปนกุหลาบในอีกอารมณ์หนึ่งเข้ามาแทน นั่นคือ กลิ่นมีความนิ่งเรียบหรูเคล้าออร่าความดาร์กดึงดูดมีเสน่ห์แบบโปร่งกำลังดี เนียนกำลังงาม และไม่ธรรมดาในการสร้างภาพลักษณ์ของกลิ่นที่มีอะไรให้น่าค้นหาไปตลอดเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป ซึ่งถ้าใครชอบกุหลาบเป็นทุนเดิมเรียกว่าจะได้มิติในการดมกุหลาบที่แตกต่างไปอีกด้านที่เป็นโทนดาร์กโปร่งๆ ได้เลยทีเดียว ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะมากไปเดี๋ยวช่วงแรกๆ จะตึ้บเพราะกลิ่นเครื่องเทศไปเสียก่อนที่จะได้สัมผัสความงามของกลิ่นสร้างอัตลักษณ์ของกุหลาบดำกำมะหยี่ของน้ำหอมรุ่นนี้ จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางแต่อย่างใด ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยจัดไป กลิ่นมีเสน่ห์ดึงดูดและเย้ายวนแบบโปร่งๆ ได้ดีและน่าสนใจมากจริงๆ ส่วนคุณผู้ชายเอาจริงๆ ใส่ตัวนี้ได้สบายมาก เพราะว่ากลิ่นไม่ได้ออกทางสาวจ๋าๆ เกินไป กลิ่นมีความขรึมและสุขุมไม่น้อย แถมช่วงท้ายของกลิ่นมีความ Unisex มากเสียด้วย 

ความทน - ดีงาม เจอสูงสุดที่ 12 ชม. ได้เลย ซึ่งถ้าเฉลี่ยก็ราวๆ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น (เลยให้ยั้งๆ สเปรย์บ้างเดี๋ยวตึ้บไปเสียก่อน) แล้วจะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 4 ชม. ถึงจะค่อยๆ ลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไป

สรุป - กุหลาบในความมืด ที่สามารถสัมผัสได้ และทำให้เรานึกถึงกุหลาบสีแดงเข้มจนกลายเป็นสีดำเหลือบม่วงในความมืดมีบรรยากาศโปร่งๆ แต่ดึงดูดและเย้ายวนเนียนๆ นี่แหละ Rose En Noir ของ Miller Harris ที่ตอนนี้กลายเป็นน้ำหอมที่เลิกผลิตไปเสียแล้ว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.pinterest.com/pin/215258057164236544/


วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Hugo Boss - Boss Nuit pour Femme

Hugo Boss - Boss Nuit pour Femme 

ถ้ามองถึงสีที่คลาสสิคในวงการแฟชั่นที่ไม่เคย Out และสามารถเอามาเป็นลูกเล่นได้หลากหลาย โดยที่มีความเรียบโก้และไฮแฟชั่นเสมอไม่มีคำว่าตกยุค นั่นก็คือ “สีดำให้ลองนึกถึงผู้หญิงที่ใส่ชุดเดรสราตรีสีดำออกงาน หรือชุดทำงานที่ทั้งเรียบโก้หรือมีความเซ็กซี่หน่อยๆ ก็ได้ มักทำให้เรารู้สึกว่าน่าค้นหา เรียบหรู มีระดับ และสง่างามเสมอ ซึ่งทั้งหมดนี่ก็เป็นที่มาที่ไปของการน้ำหอมของแบรนด์ Hugo Boss ในรุ่น Boss Nuit pour Femme ที่จะสื่อสารถึงผู้หญิงในชุดดำที่มีความเรียบหรูและสง่างาม แล้วกลิ่นล่ะ เป็นยังไง? 

กลิ่นค่อนข้างจะเกินคาดพอสมควร เพราะไม่ได้มาสายกรุยกราย จัดจ้าน หรือนางพญาอะไรเลย ออกทางมาสายเรียบหรูมีระดับแบบที่ไม่เน้นการปล่อยพลังแต่อย่างใด โดยจะเน้นที่กลิ่นอายสาย Fruity Floral ที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ยังคุมโทนการวางตัวทางกลิ่นได้ดี มีทั้งความสุภาพและความนิ่งในกลิ่นที่สร้างออร่าสง่างามแบบกำลังดีไม่หนักหน่วงได้ไม่ยากเลย โดยกลิ่นจะเปิดตัวที่ความเป็นโทนติดสบู่ขรึมหม่นนิดหน่อยจากสารหอม Aldehydes เพียงแต่ว่าจะไม่ได้มาแบบคมๆ พุ่งๆ แน่นๆ ฟุ้งกระจายวายป่วงเว่อร์ๆ แต่อย่างใด กลิ่นค่อนข้างคุมโทนความกลางกำลังดี ที่ไม่หนักมาก โดยจะมาผสมผสานกับกลิ่นพีชที่ให้ความหวานหอมกึ่งนวลอ่อนๆ และไม่ฉ่ำเกินไป ทำให้ได้ลักษณะกลิ่นออกทางสบู่พีชหน่อยๆ ซึ่งแค่กลิ่นเปิดก็บอกได้เลยว่า เหมาะสำหรับสาวๆ ชัดเจน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นโทน Feminine มากจริงๆ 

เพียงไม่นาน Aldehydes เริ่มบางลงไป กลิ่นพีชจะมี 2 มิติที่ชัดเจนให้จับต้องได้ง่ายขึ้น คือ ดมใกล้ๆ จะมีกลิ่นติดนวลหวาน แต่ดมห่างๆ จะมีความใสหวานปนนวลอ่อนๆ ซักชั่วขณะ ก็จะเริ่มมีโทนดอกไม้ขาวค่อยๆ เสริมเข้ามาจนกลายเป็นตัวหลักในช่วงกลางที่จะตีคู่ไปกับกลิ่นพีชเลย โดยกลิ่นเด่นที่สร้างความหวานหอมนวลปนอ่อนโยนเลยคือ มะลิ และมีโทนดอกไม้ขาวอื่นๆ ที่สร้างความใสๆ ให้กลิ่นด้วย ซึ่งจับต้องได้ถึงกลิ่นอายสไตล์ดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) และดอกไม้อื่นๆ รวมอยู่ด้วย ทำให้กลิ่นจะคุมสมดุลย์พอดีระหว่างความนวลและความใส รวมถึงกลิ่นจะเริ่มเป็นโทนออกทางแห้งๆ เข้าโทนแป้งชัดขึ้น เพียงแต่จะยังโปร่งๆ หวานระเรื่อจมูกแบบอ่อนโยนกำลังดีเสียด้วย ซึ่งน่าจะมาจากดอกไวโอเล็ตที่ให้ความเป็นแป้งในลักษณะโปร่งๆ ปนหวานแบบนี้ และกลิ่นจะดำเนินไปพอสมควรจนเริ่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นมีความครีมมี่นวลๆ ออกทางไม้จันทน์หอมเสริมเข้ามาตามลำดับ และมีกลิ่นออกทางน่าค้นหาติดดาร์กอ่อนๆ ปนกรุยกรายบางๆ ที่เนียนแทรกเข้ามาในเนื้อกลิ่น แต่ก็มาในลักษณะที่รองพื้นกลิ่นเป็นหลัก ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม ที่ยังคงคุมโทนดอกไม้ขาวกึ่งนวลกึ่งใสเป็นตัวสร้างออร่าความหอมนวลปนหวานระเรื่ออยู่ เพียงแต่จะเพิ่มอารมณ์ที่มีความนวลอ่อนโยนปนจริตแบบผู้หญิงที่มีเสน่ห์แบบนิ่งๆ เข้ามาอีกด้วยนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นแม้จะชื่อว่า Nuit ที่แปลว่ากลางคืน แต่เอาจริงๆ กลิ่นมัน Daily Scent มากๆ แบบว่าใช้ยามกลางวันได้กวาดหมดแทบทุกสถานการณ์ได้เลย เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายกระจายเก่ง ปล่อยพลังเก่ง ออกแนวเรียบหรู วางตัวดี เสียมาก จึงใส่ได้เลยยามกลางวัน จัดไปเถอะ จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ สง่างามเรียบหรูแบบเหงื่อซ่กคงไม่น่าใช่ ส่วนยามค่ำคืนอันนี้ใช้ได้แหละ เพียงแต่เน้นใส่ออกงาน หรือไปโรแมนติคจะดีกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรีโดนกลบจากชาวบ้านมิดแน่นอน

ความทน - กลิ่นไม่ได้ถึงกับจัดจ้านในย่านนี้ทางด้านความทนเท่าไหร่ เพราะแม้จะเป็น EDP แต่ความทนก็อยู่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบไปซัก 2 ชม. ก็ได้อยู่ อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวจากการใช้จริงทนไปได้ถึง 8 ชม. ได้เลย 

การกระจาย - กลิ่นมาสายปลอดภัยในเรื่องนี้ชัดเจน เพราะกระจายปานกลางในช่วงต้น เป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ปิดท้าย Skin Scent ในช่วงท้าย เช่นนั้น เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เข้าทางการใช้งานแบบเรียบหรู ไม่เน้นโฉ่งฉ่างได้เป็นอย่างดี 

สรุป - Boss Nuit pour Femne สื่อสารได้ตามที่ตั้ง Concept ไว้ถึงผู้หญิงชุดดำเรียบหรูและสง่างามไหม? ตอบเลยว่าใช่และได้ รวมถึงเป็นอีกหนึ่งกลิ่นของน้ำหอมผู้หญิงที่มีความเรียบแต่หรูหรากำลังดี มีจริตติดค่อนไปทางนิ่งๆ กำลังงามที่เอาอยู่ได้เสมอ เพียงแต่กลิ่นเข้าทางการใช้ยามกลางวันมากกว่าที่จะเป็น Nuit หรือยามกลางคืนก็เท่านั้นเอ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrancenet.com/perfume/hugo-boss/boss-nuit-pour-femme/eau-de-parfum#232077

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Charriol pour Homme Royal Gold (Eau de Toilette Intense)

Charriol pour Homme Royal Gold (Eau de Toilette Intense) 

ห่างมาอย่างยาวนานเลยทีเดียวกับแบรนด์เครื่องประดับจิลเวลลี่จากสวิตเซอร์แลนด์ที่มีน้ำหอมที่น่าสนใจและมีคุณภาพมากมายอย่าง Charriol ซึ่งหลังจากที่ได้ผ่านการบอกเล่ากลิ่นอายที่เป็นตัว Top Class ของแบรนด์อย่างรุ่น pour Homme ปกติที่มีโทนกลิ่นอายใกล้เคียง Paco Rabanne Black XS แต่หรูหรามีระดับมีคลาสที่ให้ความเป็นโทนสว่างกว่ามาก ไม่ได้เจ้าชู้ลั่นล้าเรียกแขกมานัวกันให้หนำ ก็ได้เวลาเจอกับตัวที่ 2 ที่ได้มีโอกาสในการกลับมาหาแบรนด์นี้อีกครั้ง และคราวนี้แบรนด์จะสื่อสารกลิ่นออกมาแบบไหน มาว่ากันที่รุ่นนี้เลย Charriol pour Homme Royal Gold แต่

บอกก่อนว่า รุ่นนี้จะมี 2 เวอร์ชั่น คือ Eau de Parfum และ Eau de Toilette Intense ซึ่งกลิ่นจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดความสับสนยืนงงในดงขวดทอง แถมกล่องก็ลายเดียวกันต่างกันนิดเดียวตรงที่ระบุว่าเป็EDP หรือ EDT Intense เท่านั้น ซึ่งครั้งนี้จะมาเน้นที่สาย EDT Intense (เพราะจัดขวดนี้มาขวดเดียว) ว่ากลิ่นนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง 

Royal Gold EDT Intense (ขอเรียกสั้นๆ แบบนี้) เปิดตัวกันด้วยกลิ่นโทน Citrus ของมะนาวที่ชัดเจนพอสมควรเลยทีเดียว มีความอะโรม่าของโทนเปรี้ยวสดชื่นชัดเจน และตีคู่มากับกลิ่นอายสายเขียวสมุนไพรที่ควรจะมาแบบคมๆขมพุ่งๆ อย่าง ยางไม้ Galbanum แต่เปล่าเลย เพราะทั้ง 2 โทนจะโดนเกลากลิ่นและตัดทอนโดยตัวเด่นของน้ำหอมรุ่นนี้อย่างเม็ดกระวาน ที่จะให้ความนวลนัวกำลังดี ทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะจับต้องได้ทั้งความสดชื่นติดอะโรม่าเปรี้ยวหอมของมะนาว ความเขียวติดขมกำลังดี มี Musky หน่อยๆ ของ Galbanum และความนัวเผ็ดเจือหวานนวลของกระวานที่เกลากลิ่นได้สมดุลย์มาก และผสมผสานกันเป็นอย่างดีจับต้องได้หมด และที่สำคัญแอบจับต้องได้ถึงโทนกลิ่นออกทาง Fruity ผลไม้เบอร์รี่แบบสีม่วงแนวๆ แบล็คเคอร์แรนท์หน่อยเข้ามาด้วย ซึ่งก็มีอาการขึ้นมาทันทีว่า มันช่างคุ้นและคลับคล้ายคลับคลายิ่งนักว่าคล้ายกับ Creed Silver Mountain Water (ขอเรียกว่า SMW หลังจากนี้) จังเลย ซึ่งแน่นอนความหรูหรามีคลาสก็มาตามความน่าจะเป็นที่ใกล้เคียงรุ่นดัง แต่สิ่งหนึ่งที่จับต้องได้ในความแตกต่างออกมาหน่อยคือ ความนัวเย้าของเม็ดกระวานนี่แหละ ที่เย้าๆ ดึงดูดเพิ่มเข้าไปให้โทนกลิ่นมีความนัวในความหรูให้จับต้องได้

จนเมื่อผ่านไปซักระยะโทนกลิ่นติดฝาดอ่อนๆ ปนอะโรม่าหวานปลายของชากับโทนไม้หอมโปร่งๆ ติดปร่าจะเนียนแทรกเข้ามาอยู่ในกลิ่น โดยเข้ามาผสมผสานกับโทนหอมเย้าติดเขียวปนกลิ่นออกทางแบล็คเคอร์แรนท์กับ Citrus ที่ยังคงมีความชัดเจนอยู่พอสมควร ซึ่งกลิ่นจะได้ความหรูหรา สุขุม อวลละมุนอบอุ่นกำลังดีและเย้ายวนในทีได้อย่างน่าสนใจ และก็เหมือนเดิมเติมน้ำแข็งยังคงมีลักษณะโทนกลิ่นแนวเดียวกับ SMW อยู่ในระยะหนึ่ง แต่จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะกลิ่นอายโทนแป้งจะค่อยๆ เข้ามาเสริมเลยทำให้ทิศทางของกลิ่นเริ่มที่จะฉีกจาก SMW ไปในลักษณะที่เป็นโทนแป้งนวลเย้าปนอบอุ่นแทนเสียมาก และปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงไม้หอมครีมมี่นวลๆ ที่จับได้ชัดเจนว่าเป็นไม้จันทน์หอมผสมผสานกับกลิ่นแป้งที่นุ่ม Musk แต่ยังมีความอุ่นหวานเรื่อๆ จากช่วงกลางที่ยังตามมาในช่วงนี้ของโทนชา + กระวานอ่อนๆ ทำให้กลิ่นยังคุมความอะโรม่าที่แฝงอยู่ในโทนแป้งให้ความสุขุม อบอุ่น ละมุน มีเสน่ห์ดึงดูดกำลังดีไปเรือยๆ จนกว่าจางไปตามเวลา 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นมีลักษณะโทนที่ให้ความหรูหราปนสุขุมเป็นพื้นฐาน แต่เพิ่มความเย้ายวนดึงดูดเข้ามาด้วยแบบที่ไม่หนักหน่วง คุมโทนความสมดุลย์ด้านการดึงดูดได้ละมุนดีแท้ โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทั้งทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นให้ความเป็นผู้ชายมีเสน่ห์และมีมาดได้ลงตัวมาก จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่ค่อยเข้าทางเท่าไหร่ ข้ามไปจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เพราะกลิ่นมีการเพิ่มเติมความเย้ายวนดึงดูดของกระวานเข้าไป จึงสามารถใส่ช่วงกลางคืนเพิ่มใเสน่ห์ได้ไม่ยาก เพียงแค่อัดสเปรย์หน่อยออกท่องราตรีได้แล้วนั่นเอง 

ความทน - 8 ชม. เป็นพื้นฐาน อาจจะมีบวกลบบ้าง ก็ว่ากันตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวเป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กำลังดี เกินไปเล็กน้อย กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากลางๆ ซักระยะ ก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป พอพ้นซัก 6 ชม. กลิ่นจะเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - ถ้า Creed SMW เน้นความหรูหรา สุขุม มาดเท่ห์ และมีเสน่ห์แบบผู้ชายที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษ Royal Gold EDT Intense ก็จะให้ไม่แตกต่างในโทนที่ใกล้เคียง แค่กระจายและกลิ่นไม่ได้ถึงกับหรูหราหมาเห่าเท่า Creed มากขนาดนั้น แต่ก็ยังมีความแตกต่างที่ให้ความรู้สึกเย้ายวนที่เข้ามาร่วมด้วยพอสมควร ซึ่งต้องยกเครดิตให้กลิ่นชาและกระวานในน้ำหอมตัวนี้เลย สร้างออร่าความละมุนเย้าๆ ได้ดีนักแล 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Charriol/Royal_Gold_pour_Homme