วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Review: The Fragrance Engineers - Diaphanous


The Fragrance Engineers - Diaphanous

เวลาที่เราเห็นการแต่งงานแบบคริสต์ที่จัดแบบกลางแจ้งมีซุ้มดอกไม้ คิดว่ากลิ่นอายความหอมจากของเจ้าสาวของงานน่าจะเป็นน้ำหอมแนวไหน? แน่นอนในความรู้สึกก็ตามแต่เจ้าสาวชอบ แต่คงไม่น่าจะเป็นน้ำหอมแนวยั่วยวนอบอวลชวนเร้าใจจนชาวบ้านแตกตื่น อย่างน้อยน่าจะต้องเป็นโทนออกทางดอกไม้ขาว มีความหวานหอมของดอกไม้ที่สร้างความรู้สึกโรแมนติค ที่อาจจะได้ทั้งนวลและใสเพื่อให้ Match กับชุดแต่งงานโทนสีขาว ซึ่งก็มีมากมายเลยทีเดียวให้เราได้เลือกสรรในการใช้งาน ซึ่งอาจจะไม่ได้เน้นว่าต้องใส่เพื่อแต่งงานเท่านั้น แต่ก็สามารถเอามาประยุกต์เป็นกลิ่นหอมโรแมนติคในชีวิตประจำวันก็ได้ด้วย 

และเมื่อได้เห็นว่าแบรนด์ The Fragrance Engineers (ที่เป็นหนึ่งแบรนด์ที่รวบรวมเอาสุคนธกรต่างๆ ที่ทั้งเป็นผู้สอนทำน้ำหอม ผู้คร่ำหวอดในวงการกลิ่น และสุคนธกรที่มีแบรนด์เป็นของตนเองแล้วมาร่วมกันถ่ายทอดและก่อร่างสร้างกลิ่นตามแต่ละ Concept ที่คนนั้นๆ จะเสนอ) ได้เอาแรงบันดาลใจของวันแต่งงานที่เจาะจงไปที่ตัวเจ้าสาวรวมถึงกลิ่นอายความสุขในวันแต่งงาน มาถ่ายทอดลงสู่ขวด กลิ่นจะออกมาในลักษณะไหน มาว่าต่อกันได้เลยตามนี้

Diaphanous เปิดตัวมากับโทนกลิ่นที่ให้ความใสกระจ่างและน่ารักกันตั้งแต่เริ่มเลย เพราะจะสัมผัสได้อารมณ์แบบกลิ่นใสๆ ของพีชที่มีลูกผสมแบบสดใสกึ่งสแปลชหน่อยๆ ของโทนแนว Watery กึ่งสบู่ใสๆ ที่ไม่คมแต่มีความสดชื่น เลยทำให้กลิ่นเปิดได้ความสดชื่นแกมหวานปนหอมใสแนวสบู่หรือแชมพูกลิ่นพีช ที่มีลายเซ็นบางอย่างให้จับต้องได้ว่านี่คือการเกลากลิ่น Aldehydes ด้วยโทนออกทางกลิ่นน้ำลอยดอกไม้หอมหวานหน่อยๆ จนได้อารมณ์สดชื่นอารมณ์ Crystal Clear ที่มีความเป็นพีชมาให้จับต้องได้ร่วมด้วย ซึ่งถาดมเผินๆ อาจจะทำให้นึกถึงสบู่หรือแชมพูใสๆ กลิ่นหอมสดชื่น แต่ต้องบอกเลยว่าถ้าดมแบบพินิจเข้าใกล้ๆ จะรู้สึกได้ชัดเจนว่าเนื้อกลิ่นมีความเป็นลายเซ็นตามธรรมชาติของโทนนั้นๆ ชัดเจนแบบที่คุณภาพของกลิ่นไม่ธรรมดา แต่ทั้งหมดทั้งมวลกลิ่นเปิดหอมสดชื่นหวานใสแกมน่ารักได้ดีมาก

เมื่อผ่านไปราว 5 - 10 นาที กลิ่นเริ่มเปลี่ยนโทนมาเป็นสาย Fruity Floral มากขึ้น โดยที่ ความเป็นโทนหวานใสโปร่งระเรื่อแกมพีชในช่วงต้นจะตามมาทั้งหมดแต่จะลดทอนความใสลงมาอีกสเต็ป ลงมาเป็นสายสนับสนุนให้โทนดอกไม้ใสๆ เด่นออกมามากขึ้น ซึ่งก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว แน่นอนว่าความเป็นกลิ่นแนวโปร่งและใสกระจ่างยังคงมีอยู่และเป็นตัวเกลาชั้นดี ให้โทนดอกไม้ต่างๆ ที่ผสมผสานกันอยู่ในช่วงนี้ ไม่ได้ไปสายนวลข้นหรือหนักแต่อย่างใด ซึ่งอย่างแรกจะจับต้องได้เลยว่ามีกลิ่นเย้าขาวที่ควรจะนวลของซ่อนกลิ่น แต่กลิ่นกับให้โทนโปร่งระเรื่อแกมเขียว และแน่นอนว่าต้องมีกลิ่นดอกไม้ขาวอื่นๆ ที่จับต้องได้น่าจะมีโทนคล้ายมะลิ และดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) ที่มีความใสแกมเขียวหน่อยๆ (คิดว่าน่าจะใส่สารหอมที่เสริมกลิ่นมะลิใสกระจ่าง ติดเขียวหน่อยๆ อย่าง Hedione ที่ให้ความเป็น Fresh & Floral เข้ามาร่วมด้วย) และที่ขาดไม่ได้เลยต้องมีคือกุหลาบที่มาแบบกึ่งนวลกึ่งใสให้ความโรแมนติคกำลังดี ซึ่งช่วงนี้เมื่อแต่ละโทนทั้งฝั่งดอกไม้และฝั่งกลิ่นแนวสบู่ใสๆ กลั้วพีชมาเจอกัน บางวูบอาจจะทำให้เรานึกถึงกลิ่นแนว Hair Spray กลิ่นดอกไม้แกมพีชได้อยู่บ้าง แต่เมื่อดมใกล้ๆ ลายเซ็นดอกไม้กับพีชมีอยู่ให้จับต้องได้ตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นเหมือนเดิม และถ้าทิ้งไปซักระยะกลิ่นจะกลายเป็นกลิ่นโทนหวานโปร่งอ่อนๆ ของดอกไม้ระเรื่อตามลมมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งช่วงนี้ได้อารมณ์กลิ่นแบบเจ้าสาวที่มีความสดใสในชุดสีขาวหรือจะเป็นผู้หญิงที่น่ารักก็ได้ อ่อนโยนก็ดี หรือจะโรแมนติคก็เข้าทางได้เลย

ในช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มลดทอนลงมาจนเหลือความหวานอ่อนๆ ที่ให้อารมณ์สีขาวกึ่งใสกึ่งนวลมากขึ้น ซึ่งพื้นฐานกลิ่นเป็นโทน Musky หน่อยๆ ที่มีความหวานอ่อนๆ เบาๆ ซึ่งกลิ่นดอกไม้ในช่วงกลางก็ยังตามมาอยู่ ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นดอกไม้แกมผิวกายสะอาดๆ นวลอ่อนๆ ระเรื่อๆ ออกมาจนรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนและโรแมนติคโทนสว่างแบบเป็นธรรมชาติ ซึ่งกลิ่นไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก เน้นความมินิมัลที่เรียบหรูและเป็นธรรมชาติ มีความเป็น Pure White ในเนื้อกลิ่นเบาๆ ได้ลงลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงเต็มๆ ได้หมดตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายมาก ซึ่งพื้นฐานกลิ่นคือโปร่ง หวานแบบโรแมนติคแกมใสที่ให้ความสว่างและมีความอ่อนโยน เช่นนั้นยังไงก็รอดสูงมาก โดยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วไป แต่ไม่เข้าทางกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายเท่าไหร่ กลิ่นมันมาสายโรแมนติคมากเกินกว่าจะสนับสนุนการออกเหงื่อ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป หรือโรแมนติคจะดีที่สุด

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ตามแต่สภาพผิวและจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. ได้สบายมากกับการใช้งานที่ 7 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลงมาปานกลาง ที่ไปเรื่อยๆ แต่เท่าที่สัมผัสได้น่าจะมีสารหอมอนุพันธ์กลิ่นบางอย่างที่ทำให้กลิ่นจะกระจายออกรอบตัวแบบกำลังดี แบบเจ้าตัวได้กลิ่นอ่อนๆ แล้วผู้คนรอบตัวก็ได้กลิ่นเดียวกับเราด้วย เพราะขนาดคนอยู่ห่างกันราวๆ เกือบ 3/4 ช่วงแขนยังทักถึงกลิ่นที่กระจายออกมา ถือว่าสร้างบาเรียรอบตัวได้ดี แล้วเมื่อผ่านไปซักราวๆ 4 ชม. ก็เริ่มเบาลงเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้ว Skin Scent เมื่อผ่านไปราว 6 ชม. 

สรุป - ต้องบอกเลยว่าตอนแรกก่อนจะทำการใช้งานจริงได้ไปดู Notes กลิ่นมาก่อน ก็เดาเลยว่ากลิ่นต้องข้น ต้องนวล ต้องขาว และต้องหวานโรแมนติค แต่พอใช้จริงกลับทิศไปหมดทุกอย่าง สมชื่อรุ่นว่า Diaphanous มาก (แปลว่าโปร่ง บาง ใสกระจ่าง อะไรประมาณนี้) ต้องยอมรับเลยว่าสุคนธกรหักมุมคนที่ดู Notes มาก่อนแบบที่เกลากลิ่นให้มีความใสและหวานโปร่งได้อย่างเกินคาด และไม่พอยังมีความหอมหวานใสระเรื่อโรแมนติคแบบที่ดมใกล้ๆ จะสัมผัสเนื้อกลิ่นที่เป็นพื้นฐานทางธรรมชาติของกลิ่นนั้นๆ ทีมีลายเซ็นให้จับต้องได้อีกด้วย  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.thefragranceengineers.com/collections/steve/products/amor-4-phyche

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น