วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Sonoma Scent Studio - Lieu de Reves

Sonoma Scent Studio - Lieu de Reves

เมื่อแบรนด์อินดี้จาก USA อย่าง Sonoma Scent Studio ที่สร้างสรรค์น้ำหอมออกมาได้อย่างมีเสน่ห์และมีระดับมากๆ จากเจ้าของแบรนด์ควบตำแหน่งสุคนธกรอย่าง Laurie Erickson ได้ประกาศปิดตัวลงไปราวๆ ปี 2019 เพราะด้วยเหตุผลทางธุรกิจและอายุที่มากขึ้นของสุคนธกรเองที่ต้องการปลดระวาง ภายในปีนั้นจึงได้มีคนที่สนใจมารับช่วงในการทำให้ Sonoma Scent Studio ส่งต่อกลิ่นอายที่ยอดเยี่ยมได้อย่างต่อเนื่อง โดยการนำของเดิมที่เป็นกลิ่นที่โดดเด่นต่างๆ มาทำต่อ และยังคงความดีงามของเนื้อกลิ่น โดยได้รับความนิยมเสมอต้นเสมอปลายจนถึงตอนนี้

แต่ใช่ว่าจะมีน้ำหอมที่ได้ไปต่อทุกรุ่น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะมีรุ่นหนึ่งที่สุคนธกรเดิมได้ทำออกมาเป็นล็อตการผลิตเดียว ขายหมดก็จบไปอยู่ ก่อนที่จะมีการนำไป Adapt แล้วกลายเป็นกลิ่นใหม่แบบที่ยังมีลายเซ็นเดิม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Lieu de Reves ที่แปลออกมาได้ว่า “ดินแดนในฝัน” แน่นอนว่ากลิ่นนี้จะหายากเพราะเลิกผลิตไปนานแล้ว เช่นนั้นเลยต้องมาบรรยายกันซะหน่อยว่ากลิ่นเป็นลักษณะไหน เผื่อในอนาคตแบรนด์จะนำกลับมาอีกครั้งจะได้จับจองได้ทัน

ดินแดนในฝันของ Sonoma Scent Studio จะมี Concept หลักเลยคือ โทนแป้ง เพราะจะชูโรงการเป็นโทนแป้งหอมงามๆ ที่เล่นโทน Notes กลิ่นต่างๆ ที่เป็นตัวหลักของโทนแป้งทั้งหมดมารวมกันได้อย่างลงตัวมาก ซึ่งกลิ่นเปิดจะให้อารมณ์ของการเป็นดอกไวโอเล็ตที่ให้โทนเขียวอมหวานโปร่งและมีความเป็นธรรมชาติเกินคาด เพราะเนื้อกลิ่นจะได้ลักษณะแบบเขียวติดชื้นๆ มีความหวานโปร่งเนียนๆ อยู่ ซึ่งจะยังไม่ได้ถึงกับเข้าโทนแป้งเต็มๆ นัก ที่สำคัญแอบจับได้ว่ามีโทน Aldehydes ที่ทำให้กลิ่นช่วงต้นจะพุ่งฟุ้งแบบเนียนๆ คลออยู่ด้วย แต่พอผ่านไปไม่เกิน 2 นาที เนื้อกลิ่นจะปรับสภาพเป็นโทนแป้งหอมหวานเขียวโปร่งระเรื่อกำลังดี เสริมด้วยกลิ่นกุหลาบที่ให้ความหวานเย้าเบาๆ ที่มีเสน่ห์สร้างออร่าแป้งหอมกุหลาบที่มีความเรียบหรูมาเลยทีเดียว และไม่ได้จบแค่นี้เพราะเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะได้อารมณ์แบบแป้งติดวานิลลามีอารมณ์ผสมอัลมอนด์หน่อยๆ ที่เป็นลูกผสมระหว่างโทน Soft Vanilla กับดอกเฮลิโอโทรเป้ ซึ่งโทนนี้แหละจะเป็นตัวหลักที่อยู่กันยาวๆ จนถึวช่วงท้ายของน้ำหอมเลย

การปรับเปลี่ยนโทนในหารเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มมีความเป็นกลิ่นอายโทนแป้งมากขึ้นอีก 1 สเต็ป แต่ก็ไม่ได้หนักข้นเกินไป เพราะจะมีกลิ่นอายของดอกไอริสที่ให้โทนแป้งติดทึบอ่อนๆ อารมณ์แบบแป้งฝุ่นที่มีความหอมหวานบางๆ เข้ามาร่วมด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นจะได้รับมิติที่ครบถ้วนของการเป็นโทนแป้งทั้งแป้งหอมหวานโปร่งจากดอกไวโอเล็ต แป้งติดทึบอ่อนๆ สไตล์แป้งฝุ่นเจอดอกไม้ของไอริส แป้งหอมอบอุ่นของวานิลลาเบาๆ และแป้งหวานนวลอวลอ่อนๆ ติดอัลมอนด์กำลังดีของเฮลิโอโทรเป้ ที่ทุกอย่างจะเป็นเลเยอร์ซ้อนกันได้อย่างดีงาม แต่จะมีตัวเสริมที่ดีอย่างกุหลาบที่ให้ความหวานโรแมนติคอ่อนๆ โทนไม้หอมที่ให้ความโปร่งขรึมกำลังดีจากไม้ซีดาร์ ทำให้กลิ่นที่นอกจากจะเป็นโทนแป้งไล่เลเยอร์และมิติกลิ่นในการดมที่ดีแล้วยังมีลูกเล่นกลิ่นกุหลายและไม้หอมที่สร้างโทนสว่างและผ่อนคลายเข้ามาร่วมด้วย จนเมื่อกลิ่นต่างๆ เริ่มผสมผสานกันอย่างเข้าที โทนแป้งตัวสุดท้ายจะเริ่มเปิดตัวออกมาแบบเนียนๆ นั่นคือ Musk ที่จะมีอารมณ์แบบแป้งติด Animalic เบาๆ ที่มีเจอกับถั่วตองก้าที่เสริมให้โทนแป้งของวานิลลามีความครีมมี่ขึ้นมาอีกนิด ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่เลเยอร์การได้รับกลิ่นจะเป็นเป็นแป้ง Soft Vanilla ที่มีอัลมอนด์อ่อนๆ แบบเฮลิโอโทรเป้ ที่มีกลิ่นโทนแป้งฝุ่นดอกไม้อ่อนๆ ของไอริสฉาบหน้า เคล้ากับกลิ่นติดไม้แห้งเจือโทนหญ้าบางๆ จากหญ้าแฝกที่เปิดตัวออกมาให้จับต้องได้ด้วยหน่อยๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความอบอุ่นคลออยู่ให้รู้สึกได้ และเข้าทางลักษณะ Woody Powdery กลั้วกันไปมาระหว่างแป้งหอมและไม้หอมที่ชัดเจนขึ้น โดยที่เนื้อกลิ่นยังมีโทนสว่างขาวนวลอยู่เพียงแต่จะมีมิติที่มีโทนเย้า Animalic แฝงเคล้ากลิ่นแห้งๆ ของไม้อยู่ตลอด ซึ่งกลิ่นจะให้ความรื่นรมย์เรียบหรูก็ได้ ให้ความเย้ายวนเนียนๆ ก็ดี โดยที่คงความมีระดับในการเป็นโทนแป้งระเรื่อๆ ที่มีชั้นเชิงอยู่ตลอดจนกว่าจะจางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เพราะเนื้อกลิ่นชัดเจนถึงความ Feminine กันเต็มๆ โดยอย่างน้อยถ้าผ่านกลิ่นโทนแป้งมาก่อนบ้างหรือชอบโทนแป้งหอมอยู่เป็นทุนเดิม จะเข้าถึงกลิ่นนี้และอาจจะรักไปเลย เพราะกลิ่นให้ความเป็นธรรมชาติที่ควรจะเป็นของโทนแป้งจริงๆ เลยสร้างความเรียบหรูมีเสน่ห์เป็นสำคัญ ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่จะไม่เข้ากับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก ส่วนยามค่ำคืนจะใส่ออกงานก็ได้เลย เพียงแต่จะไม่ได้เน้นปล่อยพลัง หรือจะใส่แบบทั่วๆ ไปก็ย่อมได้ แต่ให้ตัดทิ้งการใส่เพื่อท่องราตรีเน้นยั่วยวนไปได้เลย กลิ่นเบาเกินไปในการไปสู่กับของหนักปล่อยพลังทั้งหลาย 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยสูงสุดที่เคยเจอก็ 8 ชม. กำลังดี มียืดออกไปนิดหน่อย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ในตอนต้นก่อน แล้วจะผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ กันยาวๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายถึงเปลี่ยนเป็น Skin Scent เต็มๆ แบบที่กลิ่นจะตีขึ้นอ่อนๆ ยามขยับตัว ง่ายๆ กลิ่นนี้มาสายเบาๆ เน้นเรียบหรูมากกว่าจะปล่อยพลัง  

สรุป - หนึ่งในกลิ่นโทนแป้งที่แบรนด์ทำออกมาได้เป็นธรรมชาติมาก สื่อสารเลเยอร์โทนแป้งในแต่ละมิติเสริมเข้ามารับช่วงต่อสร้างความเพลิดเพลินในการดมกลิ่นได้เป็นอย่างดีและมีความสมดุลย์มาก เสียดายที่เลิกผลิต และแถมตัวที่ไป Adapt ต่อเองอย่างรุ่น To Dream ก็เลิกผลิตเช่นกัน ไปใช้กลิ่นโทนใกล้กันแต่กลิ่นนิ่งเศร้ากว่าอย่าง Guerlain - L’Heure Bleue EDP แทนก็แล้วกันเนาะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Sonoma-Scent-Studio/Lieu-de-Reves-5646.html

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น