วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Review: Maison Incens - Figue Aoudii

Maison Incens - Figue Aoudii 

สะดุดตาครั้งแรกกับแบรนด์นี้เพราะขวด ที่มีฝาปิดไม้ที่มีความเก๋ๆ น่าสนใจ เลยทำให้ต้องหาข้อมูลกันหน่อยและก็ทำให้รู้ว่า Maison Incens นี่เป็น Niche Brand ของฝรั่งเศสที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 และเริ่มเปิดตัวน้ำหอมกลิ่นแรกในปี 2014 โดยมี Concept ในการสร้างสรรค์น้ำหอมเน้นที่ความเป็นของจริงแท้ทรู ความสร้างสรรค์ โชว์งานศิลปะ สร้างความแตกต่างทางกลิ่น และไม่แคร์ Trend อะไร โดยได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นมาจากนิยายของ Michel Constantin ที่เป็นพ่อของผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้ 

เช่นนั้นที่มาที่ไปครบ ก็ต้องมาเล่ากลิ่นที่แบรนด์นำเสนอกันหน่อยกับกลิ่นแรกที่มีโอกาสได้สัมผัส นั่นก็คือ Figue Aoudii 

ขออึ้งก่อน เพราะว่าแรกเริ่มเปิดสเปรย์มา กลิ่นค่อนข้างชัดเจนในความ Unique ที่แปลกและแตกต่างมาก เพราะความเป็นโทนดอกไวโอเล็ตที่ให้ความหวานปนกลิ่นอายติดทึมๆ ค่อนไปทางแป้ง ให้ลักษณะโทนกลิ่นที่ชัดเจนในความโทนสีม่วง โดยจะมาเจอกับกลิ่น Fig (มะเดื่อฝรั่ง) ที่ออกทางหวานเจือเขียวอ่อนๆ เคล้ากลิ่นหนังทึมๆ โดยมีกลิ่นออกทาง Airy Citrus ติดขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เจือเบาบางอยู่ ซึ่งโทนกลิ่นที่ผสมผสานออกมามันจะได้ลักษณะคล้ายกลิ่นยางกลั้วคอนโซลรถยนต์เวลาที่เรารับรถใหม่ที่พึ่งซื้อแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งก่อนขับประมาณนั้นเลย แต่มันไม่ได้มีแค่นั้น เพราะว่าในเนื้อกลิ่นมันมีลักษณะโทนดอกไม้อวลหอมเย้าลึกๆ โทนคล้ายกระดังงากับไม้หอมปร่าโปร่งๆ ซึ่งน่าจะมาจากโทนไม้ซีดาร์หรืออาจจะเป็นสารหอมอย่าง ISO E Super ที่ทำให้บางอารมณ์จะได้กลิ่นออกทางกระดาษสะอาดๆ ปนหวานเย้าด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นเลยจะมีเลเยอร์ที่ให้ความรู้สึกออกทางสีม่วงไล่เฉดจากม่วงสว่างจนถึงม่วงเข้ม มีทั้งความดาร์กกึ่ง Dirty และความสว่างกึ่งสะอาด ซึ่งบอกเลย ช่วงต้นนี้ไม่ได้เป็นช่วงที่ทำให้ประทับใจกันได้ง่ายๆ เท่าไหร่นัก เพราะไม่ได้มาแบบสากลนิยมแน่นอน ซึ่งต้องปรับจมูกกันพอสมควรให้เข้าใจความแปลกกันหน่อย

พอผ่านไปชั่วขณะ โทนกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางโดยที่กลิ่นหลักๆ ทั้งหลายในช่วงต้นจะยังคงอยู่และเป็นตัวเอกหลักเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็น Fig หนัง ดอกไวโอเล็ต กระดังงา กลิ่นไม้หอม ซึ่งจะเริ่มเป็นโทนที่เข้าทางดาร์กมากขึ้นตามลำดับ แต่ยังคงความหวานเนื้อกลิ่นอยู่ โดยกลิ่นที่เข้ามาเป็นผู้นำกันอย่างชัดเจนคือ หนังกับไวโอเล็ต ซึ่งจะได้ทั้งอารมณ์กลิ่นหนังดาร์กหน่อยๆ เจือแป้งหอมหวานทึมๆ ตีคู่กันยาวไป โดยที่จะมีกลิ่น Fig ไม้หอมและกระดังงา เป็นตัวเสริมให้มีมิติกลิ่นที่มีวูบของโทนผลไม้ติดเขียว กลิ่นไม้ปร่าโปร่งๆ เนียนๆ และกลิ่นดอกไม้หวานยวนใจ ซึ่งช่วงนี้โทนกลิ่นจะไม่ได้มีไล่เฉดความสว่างมาสู่ดาร์กแล้ว แต่จะมาดาร์กดึงดูดกันอย่างชัดเจน ได้อารมณ์น่าค้นหา มีความเย้ายวนที่ให้ความรู้สึกดาร์กล่อลวงกันพอสมควร อารมณ์ค่อนข้างสวิงเหมือนเวลาเราเอามือลูบผืนหนังสลับกับผืนกำมะหยี่ในระดับหนึ่ง ซึ่งพอผ่านไปซักพักออร่าความดาร์กเริ่มชัดเข้ามาอีกเรื่อยๆ เพราะกลิ่นโทน Oud (ไม้กฤษณา) ที่ติด Smoky ให้อารมณ์โทนกลิ่นสีดำจะเข้ามาเสริมสร้างออร่าความดึงดูดในความดาร์กกึ่งโปร่งให้พอมองเห็นลางๆ ทำให้ช่วงกลางมีมิติที่ชี้ชัดเจนไปที่ความดาร์กน่าค้นหาในความหวานของโทนแป้งและ Fig ยาวไปเรื่อย จนกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในช่วงท้ายแบบที่แอบเกินคาดไม่น้อยเลย 

เพราะกลิ่นของ Fig และไวโอเล็ตจะจางไป ให้กลิ่นโทน Musk เปิดตัวเสริมขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นไม้หอมเข้มๆ ติด Smoky กลิ่น Incense ธูปควันๆ กลิ่นโทนสาบปลุกเร้า Animalic ที่มีโทนแบบหนังติดไหม้ๆ ของกลิ่นต่อมเพศบีเวอร์ (Castoreum) และ Civet หรือชะมดเช็ดที่โดยเกลามาแล้วจะกลายเป็นตัวเสริมโทนกลิ่นหลักอย่างหนังและโทน Oud ที่ออกทางไม้ติดควันจนกลายเป็นกลิ่นอายสไตล์ Dark Woody Vintage ยืนพื้นที่กลิ่นอายของโทนไม้หอมที่ให้ความน่าค้นหา ดึงดูด และมีออร่าและชั้นเชิงความเป็น Last Boss หรือนางพญาในกลิ่นโทนออกทางสีม่วงเข้มจัดเข้าโทนสีดำแต่มีความซีทรูพอให้เห็นลางๆ ไปเรื่อยๆ ปิดท้ายการเป็น Figue Aoudii ที่มีความแปลกสู่ดาร์กที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ระบุไว้ว่า Unisex ซึ่งก็ถือว่าตรงตัว เพียงแต่จะแบ่งเค้กกันในระดับหนึ่งคือ เปิดมาอาจจะเข้าทางผู้หญิงมากกว่า ช่วงกลาง Unisex และช่วงท้ายมีความเป็นโทนผู้ชายเด่นกว่า ซึ่งกลิ่นนี้เหมาะสำหรับการนำเสนอโทนกลิ่นดาร์กแต่เย้ายวนหวานโปร่งที่ไม่ใช่สายขนม จึงเหมาะกับวัยทำงานขึ้นไป และอย่างน้อยผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่ง หรือถ้าผ่านน้ำหอม Niche แปลกๆ มาบ้างจะเข้าใจกลิ่นนี้ได้ง่ายขึ้นและอาจจะชอบไปเลยในความเก๋แปลกที่สร้างออร่าความดาร์กกึ่งม่วงเข้มกึ่งดำได้อย่างน่าสนใจจริงๆ ซึ่งใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามแบบที่ต้องเลือกดูความเหมาะสมพอสมควรโดยเฉพาะการใช้กับงานทางการ แต่ถ้าใช้ทั่วๆ ไปเพื่อเสริมบุคลิกสาย Last Boss อันนี้ทำได้เลยสบายมากด้วยไม่ว่าจะทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ให้ตัดไปได้เลยเรื่องการใช้เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกาย ไม่เข้าทางทุกประุการ 

ความทน - ดีงามเลยทีเดียวกับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งจะทนไปมากกว่านี้หรือไม่อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กันเลยทีเดียว ถือว่าตรงนี้แบรนด์ทำได้ดีจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีชวนอึ้งชวนงงกันก่อน มาในแบบน้ำหอม Niche สไตล์ที่กลิ่นเปิดอาจจะไม่ถูกใจนัก แต่จะเริ่มลงตัวเมื่อเข้าช่วงกลางและช่วงท้าย ที่การกระจายจะค่อนข้างคงตัวที่ปานกลางไปยังออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

สรุป - แปลก เก๋ ไม่เหมือนใคร เข้าทางคนที่ชอบความแตกต่างทางด้านกลิ่นโดยที่เน้นความดาร์กแต่หวานโปร่งเย้ายวนมีชั้นเชิงแบบไม่ต้องไปสายขนมเป็นสำคัญ และกลิ่นนี้ไม่ได้สนใจว่าคนใช้จะชอบหรือไม่ ต้องใช้ปรับคาแรคเตอร์เอาเองในการเข้าถึงซักหน่อย และชอบโทนวินเทจที่จะอยู่กับเราในช่วงท้ายๆ ที่ยาวนานพอสมควร แต่ยังไงก็ตามถือว่าเป็นการเอากลิ่นอายของ Fig มาเจอกับไวโอเล็ต หนังและ Oud ได้น่าสนใจในความแปลกเก๋มากจริงๆ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.swo.lt/mistine-kelione-po-aromatu-pasauli/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น