วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Review: Pierre Cardin - Bleu Marine Pour Lui


Pierre Cardin - Bleu Marine Pour Lui

ในแวดวงแฟชั่นหนึ่งแบรนด์ที่เรียกว่าจับตลาดหมดทุกภาคส่วนตั้งแต่แฟชั่นสาย Avant Garde Haute Couture ชั้นสูงจนถึง Ready-to-wear และ Accessories ไม่ว่าจะของผู้หญิงและผู้ชายที่ราคาจับต้องได้แถมเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก คงหนีไม่พ้น Pierre Cardin เป็นแน่แท้ เพราะนี่คือตำนานอย่างแท้จริงตั้งแต่ยุค 50 จนถึงปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่ และถือเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลต่อธุรกิจแฟชั่นอย่างมากจริงๆ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจมาก คือ Concept ของแบรนด์ที่นำเสนอว่า “สินค้าแฟชั่นควรเป็นสินค้าที่ผู้คนทั่วไปก็สามารถจับต้องได้ ไม่ใช่มีไว้เพื่อเศรษฐีเพียงอย่างเดียว”

เกริ่นเรื่องแบรนด์จบ มาครบเครื่องกันต่อที่เรื่องน้ำหอมของแบรนด์นี้กันบ้าง เพราะมีประวัติกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1972 จนถึงทุกวันนี้กับน้ำหอมมากมายที่สนับสนุนความเป็น Pierre Cardin ไม่ว่าจะเป็นทั้งโซน Classic และ Modern และในเมื่อได้มาเล่ากลิ่นแบรนด์นี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องเลือกเอาความ Classic ฝั่งน้ำหอมชายมานำเสนอกันหน่อยว่าผลงานในปี 1986 ที่สื่อสารถึงโทน Aquatic Herbal Classic อย่างรุ่น Bleu Marine Pour Lui จะออกมาในลักษณะใด

เปิดตัวมาเต็มๆ กับโทนกลิ่นสาย Citrus ฟุ้งๆ คมๆ เคล้ากับความเป็นโทนสมุนไพรติดเขียวที่มาชัดเจนมากเลยทีเดียวตามขนบในแบบน้ำหอมยุค 80 ที่จะสร้างความสดชื่นคมๆ ให้อารมณ์สุภาพบุรุษหวีผมเรียบแปล้สะอาดสะอ้านที่ชัดเจนมาก ซึ่งกลิ่นจะเด่นเต็มๆ กับกลิ่นเขียวออกทางใบไม้ปนกลิ่นปร่าสมุนไพรที่ให้อารมณ์กึ่งลาเวนดอร์กึ่ง Musky นวลๆ ของ Clary Sage ตีคู่ไปกับกลิ่นนวลปร่าของโหระพาและกลิ่นของจิงจูฉ่ายที่ให้ความปร่าหอมฟุ้งๆ ออกมา และจะมีโทนมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ให้ความเปรี้ยวสดชื่นติดขมปนโทนสะอาดสร้างบรรยากาศ โดยที่พื้นกลิ่นจะจับได้ถึงกลิ่นอายแมนๆ ของโทนหนังที่มีความ Animalic สาบปลุกเร้าเนียนๆ เคล้ากลิ่นติดอุ่นอ่อนๆ ปนหวานของเครื่องเทศบางอย่างที่ทำให้กลิ่นช่วงต้นมีความฟุ้งเขียวสดชื่นโดยที่มีความอวลกึ่งแน่นกำลังดีตรึงกลิ่นไว้อยู่

เพียงไม่นานเครื่องเทศที่หวานติดอุ่นก็เริ่มเปิดตัวออกมาชัดมากขึ้น นั่นก็คือ อบเชย ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอม แต่ข้อดีอย่างหนึ่งคือ กลิ่นจะไม่ได้ไปสายอบอุ่นอวลหวานแหลมนัวแบบที่เป็นสไตล์น้ำหอมเร้าใจแบบยุคสมัยใหม่ แต่จะมาแบบเป็นตัวสนับสนุนให้กลิ่นมีลูกล่อลูกชนที่เดินไปด้วยกันระหว่างโทนเขียวสดชื่นคมๆ ในช่วงต้นแต่จะมีมิติโทนเครื่องเทศอบอุ่นแบบบรรยากาศอวลหวานเผ็ดเคล้ากลิ่นรองพื้นอยู่และจะมีกลิ่นโทนไม้หอมที่ออกทางโปร่งขรึมกำลังดีเข้ามาสมทบเลยทำให้กลิ่นจะได้อารมณ์ไม้โปร่งๆ ติดอบอุ่นเครื่องเทศที่มีโทนหนังที่ยังเป็นพื้นกลิ่นแทรกอยู่ตลอด ซึ่งจะตีคู่กับโทนบรรยากาศสดชื่นติดเขียวที่ลดทอนความคมลงมาพอสมควร เพราะมีโทนดอกไม้อย่างมะลินวลบางๆ และเขียวติดปร่าพริกไทยหน่อยๆ อย่างคาร์เนชั่นที่ยังคงมีโทนสุภาพบุรุษติดเขียวสดชื่นที่จะเป็นเลเยอร์แรก แต่พอดมเข้าไปใกล้ๆ จะได้กลิ่นไม้หอมติดอบอุ่นเจือหวานเครื่องเทศเย้ายวนเนียนๆ เคล้ากลิ่นติดเขียวขมดาร์กหน่อยๆ ที่เป็นลักษณะกลิ่นของ Oakmoss ที่เริ่มเปิดตัวออกมาทำให้อารมณ์กลิ่นแบบสุภาพบุรุษน่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วย จนเมื่อกลิ่นหนังเริ่มจะลดทอนกลิ่นติดสาบปลุกเร้าลงไปพอสมควร แล้วกลิ่น Oakmoss เริ่มที่จะเด่นขึ้นมาให้ความเป็นโทนแมนสุภาพบุรุษชัดมากขึ้น เคล้ากับกลิ่นที่ออกทางผิวกายติดเค็มอวลบางๆ หน่อยๆ ลักษณะเหมือนมี Ambregris หรืออำพันปลาวาฬที่ให้ลักษณะกลิ่นแนวๆ นี้ที่เข้ามาเสริมทัพพร้อมกับโทนอบอุ่นลึกๆ แนวๆ Amber กับพิมเสนที่ให้ความระเรื่อประปราย ก็เป็นการเช้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะสร้างออร่าออกมาเป็นกลิ่นสุภาพบุรุษแมนๆ สไตล์ Vintage ที่มีความสะอาดกึ่ง Dirty เล็กๆ เจือกลิ่นเค็มผิวกายอ่อนๆ และมีความอบอุ่นกำลังดีคลอๆ ไปโดยที่ไม่ได้เข้มหรือหนักไป คงความมีระดับในเนื้อกลิ่นแบบน้ำหอมสาย Vintage ที่มีความร่วมสมัยได้ดีเข้าทางการเป็นหนึ่งในน้ำหอมสายเหนือกาลเวลาได้ไม่ยากเลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็ใส่ได้สบายมาก กลิ่นแม้จะมีโทนสดชื่นสไตล์ Vintage เป็นตัวนำก็จริง แต่ก็ร่วมสมัยมากพอที่จะใส่ทั้งทำงานและทั่วไปได้ เพราะกลิ่นไม่ได้ตกยุคแต่อย่างใด และมีความครอบจักรวาลมากพอที่จะใส่ในโอกาสอื่นๆ ยามกลางวันได้หมดเลยเสียด้วยซ้ำ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือออกงานจะดีที่สุด เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรีเน้นปล่อยเสน่ห์ในสถานที่ปิด กลิ่นแม้สู้คนอื่นได้ แต่มันไม่ใช่แนวอวลเย้าหวานแน่นแบบน้ำหอมยุคใหม่ที่เน้นปล่อยพลังความดึงดูดเท่าไหร่

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีมากกว่าหรือน้อยกว่านี้ก็อิงที่จำนวนสเปรย์เป็นหลัก เพราะส่วนตัวใช้ไป 5 สเปรย์ ลากยาวไปที่ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ฟุ้งพุ่งมาชัดและครบ ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางกันไปเรื่อยๆ พักใหญ่ ก็เข้าสู่การเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนค่อยๆ เป็น Skin Scent เมื่อผ่าน 8 ชม. ไปแล้วก่อนจะค่อยๆ จางไป

สรุป - เห็นคำว่า Blue Marine ไม่ได้หมายว่ามันจะต้องกลิ่นทะเลแต่อย่างใด เพราะยุคนั้นเที่ยวทะเลแบบสุภาพบุรุษคูลๆ ก็จะเป็นลักษณะกลิ่นแบบนี้ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นกลิ่นที่เชยแต่อย่างใด แม้ว่าจะเป็นน้ำหอมที่สร้างสรรค์ออกมาในช่วงยุค 80 ซึ่งมันอาจจะมีโทนกลิ่นที่สร้างอารมณ์แบบกึ่งสไตล์ Barber Shop บ้างก็ตาม แต่เอาจริงๆ ตัวบิดสำคัญเลยคือโทนอบอุ่นนี่แหละ ที่ทำให้กลิ่นนี้มีดีและมีมิติที่เหนือกาลเวลาในความ Classic ที่เป็นพื้นฐาน โดยสามารถใช้งานได้ง่าย ให้ความแมนสุภาพบุรุษมีระดับที่ร่วมสมัยได้ไม่ยาก

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credithttps://www.amazon.com/Marine-Pierre-Cardin-Toilette-Spray/dp/B0006IHJYQ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น