เมื่อเห็นชื่อรุ่นน้ำหอมที่ได้รับเป็น Finalist และเป็นรุ่นที่ได้รับรางวัลน้ำหอมสาย Niche Perfume อย่าง Art & Olfaction Awards ประจำปี 2019 ในส่วนของ Independent Category ซึ่งนั่นก็คือ Ryan Richmond กับรุ่น Rich Mess แน่นอนว่าเป้าหมายต้องมีไว้ในการครอบครองก็มาเต็มเลยทีเดียว เพราะอยากได้น้ำหอมที่มีรางวัลการันตีและอยากที่จะเรียนรู้กลิ่นว่าจะออกมาในรูปแแบบไหน แต่ก่อนจะว่ากันในเรื่องของกลิ่น มาว่ากันที่แบรนด์กันก่อนดีกว่า
Ryan Richmond เป็นแบรนด์น้ำหอมที่กำเนิดขึ้นมาเมื่อปี 2018 จากเจ้าของที่ชื่อเดียวกับแบรนด์ที่เป็น Art & Creative Director ที่เก่งกาจมากเลยทีเดียว และได้ร่วมงานกับแบรนด์ใหญ่ๆ มาก็มาก เมื่อได้เจอกับ Perfumer ที่ชื่นชอบผลงานเป็นการส่วนตัวอย่าง Christophe Laudamiel ก็เลยได้ร่วมงานกันเพื่อสร้างสรรค์น้ำหอมออกมาจนได้เป็นรุ่น Rich Mess ที่เป็นเพียง 1 เดียวของแบรนด์ในตอนนี้ออกมา โดยให้คิดถึงภาพงานปาร์ตี้ยามค่ำคืนแบบเก๋ๆ ดึงดูดให้สนุกสนานแบบมีสไตล์ โดยที่ใส่ในความมั่นใจผ่านกลิ่นได้เลยเพราะตั้งใจมาให้เป็นกลิ่นอายสายสตรองอยู่แล้ว เช่นนั้น มาว่ากันที่กลิ่นนี้กันเลยดีกว่าว่าจะออกมาในรูปแบบไหน
เปิดตัวมาก็สายสตรองกันอย่างแท้ทรู เพราะกลิ่นจะให้พลังเป็นบาเรียกระจายรอบวงกันเลยทีเดียว ซึ่งจะยืนพื้นที่โทนหนังที่จะตามไปจนถึงช่วงท้ายแบบเป็นตัวเอกหลักไปเลย ซึ่งเปิดมาความเป็นหนังติดอวลปนไม้ติดจืดหอมและมีกลิ่นแนวเครื่องเทศเผ็ดปร่าเนียนๆ รวมอยู่จะฟุ้งออกมาชัดพอสมควร แต่จะมีโทนสนับสนุนที่เป็นตัว on Top ของกลิ่นอย่าง โทน Citrus ติดซ่า Spicy หน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง เปรี้ยวแปร่งเนียนๆ ของเกรปฟรุตที่ทำให้กลิ่นมีวูบโทนสว่างวิบๆ หน่อยๆ และมีกลิ่นเขียวขมติดหวานปลายกลิ่นและมีความทึบนิดๆ ของลูกมะเดื่อฝรั่งหรือ Fig ซึ่งจะได้อารมณ์แนวๆ เครื่องดื่มค็อกเทลหรือแชมเปญที่มี Fig ประดับอยู่ที่ทำให้การเปิดตัวของกลิ่นไม่ได้ไปสายดาร์กจัดจ้านมากนัก ออกแนวมีความ Mix & Match ที่จะอวลทรงพลังด้วยกลิ่นโทนหนังเคล้าไม้หอมเย้าเร้าใจ มีความทึบอึนแบบน่าค้นหา และก็มีมุมสว่างวิบๆ ให้รู้สึกได้ไปด้วยแบบประปราย ได้อารมณ์แนวๆ อยู่ในปาร์ตี้ชุดหนังที่มีทั้งคนใส่ชุดหนังเท่ห์ๆ หนังรัดรูป หนังแก้วกึ่งลาเท็กซ์วิบวับเซ็กซี่ หรือถ้าไม่ใส่ชุดหนังก็เป็นบาร์ที่มีโซฟาหนังให้นั่งคุยนั่งโยกตามเพลงพลางจิบค็อกเทลอะไรประมาณนั้น ซึ่งช่วงเปิดมีความแปลกเก๋อวลหนักแบบที่ทำให้ตึ้บได้พอสมควร และเป็น Love or Hate Scent ที่ถ้าชอบก็จะฟินไปเลย ถ้าเกลียดจะวางทิ้งไปล้างตัวได้ในทันทีเช่นกัน เพราะกลิ่นไม่ได้ Nice แต่ความมั่นใจนั้นเต็มเปี่ยมเสียมากกว่า
จนเมื่อกลิ่นโทนหนังเริ่มชัดขึ้นและมีกลิ่นติดขมปนหวานปลายเครื่องเทศที่มีความใกล้เคียงโทนหนังอย่างหญ้าฝรั่นที่เริ่มเปิดตัวออกมาสมทบความอวลที่จะลุ่มลึกดึงดูดเพิ่มขึ้น ความหนักอวลปล่อยพลังในช่วงแรกจะลดลงมาหน่อย และโทน Citrus ต่างๆ จะผันตัวเป็นสายสนับสนุนอ่อนๆ แทน โดยจะได้เลเยอร์กลิ่นในลักษณะกลิ่นเขียวขมทึบของ Fig ที่ชัดขึ้นมาจากช่วงแรก ไล่เลเยอร์ลงไปที่ตัวเชื่อมอย่างกลิ่นหญ้าฝรั่นเจือไม้จืดหอมติดทึบ ตามด้วยกลิ่นหนังเคล้าวานิลลาเล็กๆ ที่ให้ความเย้าเคล้าสาบปลุกเร้า Animalic รองพื้น กลิ่นจะสร้างออร่าติดดาร์กกำลังดี อวลนัวกำลังงาม แต่ยังมีพลังอยู่เต็มไปซักระยะ จนเมื่อเริ่มมีกลิ่นโทนไม้หอมที่ติดปร่าเสริมขึ้นมาอย่างไม้ซีดาร์ กลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนไปในทางโปร่งขึ้นมาอีกนิด แต่พื้นกลิ่นยังคงทึบอวลอยู่ เลยจะได้อารมณ์การแบ่งภาคทางกลิ่นที่มีความเป็นเอกเทศก็ได้ ผนวกผสานรับส่งต่อเสน่ห์กันเป็นอย่างดีก็สามารถ สร้างออร่ากลิ่นอายโทนหนังที่มีความอวลไม้หอมปนเก๋มีเสน่ห์เก๋ๆ เฉพาะไปพอสมควร จึงเปลี่ยนสถานะเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะค่อยๆ ผ่อนตัวลงมา โดยที่กลิ่นจะยังคงมีโทนขมหอมของหญ้าฝรั่น กลิ่นติดโทนเขียวทึบของ Fig และเริ่มมีกลิ่นออกทางแว็กซ์หอม Spicy หน่อยๆ ของดอกลิลลี่เข้ามาร่วมด้วย กลิ่นเลยยังคุมโทนความดึงดูดมีเสน่ห์ติดสายดาร์กกำลังดีอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายพื้นฐานที่ยังมีความเป็นกลิ่นหนังเคล้าไม้หอมที่มีความอวลจืดหอมหน่อยๆ ของไม้จันทน์หอมและมีความโปร่งติดปร่าของไม้ซีดาร์ โดยที่แอบมีโทน Musky เข้ามาร่วมด้วย กลิ่นเลยจะได้ให้อารมณ์กลิ่นผิวกายติดเขียวกึ่งหนังติดเหงื่อหน่อยๆ เคล้าไม้หอมแบบสร้างความเร้าใจปนเซ็กซี่ได้ดีเกินคาด และอยู่ยาวนานกันไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจได้เลย
เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ไพล่ไปทางผู้ชายนิดหน่อย เพราะโทนไม้หอม แต่ก็ไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไรนัก ซึ่งกลิ่นนี้อาจจะต้องผ่านน้ำหอมกลิ่นหนังและ Fig มาบ้าง จะทำให้เข้าใจเนื้อกลิ่นได้ดีมากขึ้น และเมื่อผ่านความหนักหน่วงของช่วงแรกไปแล้วที่เหลือจะมีทั้งความ Cool ความเซ็กซี่ ความเย้าเร้าใจ และความดาร์กน่าค้นหาแบบที่มีความ Modern และแปลกเก๋ในเนื้อกลิ่นสูงมาก แน่นอนว่าไม่ค่อยเข้าทางกับการใส่ยามกลางวันเท่าไหร่นัก แต่ถ้าใส่ก็แบบทั่วๆ ไปหรือใส่ทำงาน Office ได้แบบจำกัดจำนวนสเปรย์ไม่งั้นตึ้บรอบทิศเอาได้ ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนแบบปาร์ตี้ หรือท่องราตรี บอกเลยจัดไป ลิ่นนี้เสริมคาแรคเตอร์สายเก๋ปนเซ็กซี่แกม Cool ได้ดีมากจริงๆ
ความทน - มากกกกกก เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ อาบน้ำนอนตื่นมากลิ่นก็ยังติดผิวจางๆ ถือว่าความทนเป็นเลิศจริงๆ ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเแลี่ยยังไงก็ 8 ชม. สบายๆ
การกระจาย - มากที่สุด เรียกว่ามาเต็ม มาชัด มาแบบปล่อยพลังรอบตัวกันจนอาจทำให้มึนกันได้เลย แต่พอไหลผ่านเข้าสู่ช่วงกลาง กลิ่นจะลดลงมากระจายดี จนเมื่อเข้าช่วงท้ายเริ่มจะผ่อนลงมาตามลำดับจนเป็นออร่ารอบๆ ตัวปิดท้ายกันยาวไป
สรุป - กลิ่นนี้สร้างภาพในหัวออกมาได้แบบนี้เลย “นั่งจิบแชมเปญที่ประดับด้วย Fig บนโซฟาหนังในบาร์ลับสลัวกับเพลงแนววาบหวามที่ดังให้ได้ยินอย่าง No Dignity ของ Blackstreet, Dancing with the Stranger ของ Sam Smith & Normani, Electricity ของ Silk City & Dua Lipa และปิดท้ายด้วย Let's Get It On ของ Marvin Gaye” มันเก๋ อบอวล ร่วมสมัย และเซ็กซี่ แบบที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ
หมายเหตุ:
1.
Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - เข็มขัดสั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น