Tauer Perfumes - Carillon pour un ange
กลับมาที่การสร้างสรรค์ผลงานของสุครธรกรที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน Master of Perfumer เลยก็ว่าได้อย่าง Andy Tauer ซึ่งจากที่เคยได้เล่ากลิ่นอายหมายเลข 02 L'Air du Desert Marocain ที่เป็นผลงานอันยอดเยี่ยมของแบรนด์มาก่อนหน้านี้ ก็ได้เวลามาพิจารณากลิ่นอื่นๆ ของแบรนด์กันต่อหลังจากที่ห่างหายไปนาน
โดยได้เห็นการพูดคุยกันของกลุ่มการใช้น้ำหอมต่างประเทศจะมีอยู่รุ่นหนึ่งที่โดยกล่าวถึงกันอยู่พอสมควรที่สามารถเป็นได้ทั้งกลิ่นที่ทำให้รักไปเลยหรือว่าจะเกลียดไปเลยก็ย่อมได้
(Love
or Hate Scent) นั่นคือหมายเลข 11 Carillon pour un ange
และเมื่อได้รับการแบ่งปันมาให้ลอง
การถอดและเรียนรู้กลิ่นก็ได้บทสรุปที่ตามมาแบบนี้เลย
เปิดต้นกลิ่นทำเอาอึ้งพอสมควร
เพราะความคุ้ยเคยกับกลิ่นแบบนี้มันทำให้นึกถึง เพลี้ยจักจั่นสีเขียว
(ที่กัดเจ็บๆ) เวลาเราตบมันจะมีของเหลวไหลออกมาแล้วกลิ่นที่มีความเขียวฉุนกึ่งเอียน
เรียกว่าตะลึงตึ่งตึงกันไปเลย ซึ่งถือว่าเป็นวูบแรกที่เวลาเรารับกลิ่นอะไรมา
เราจะเอามาเทียบกับประสบการณ์ของเราก่อนเสมอว่าคล้ายกับอะไร
แต่พอมานั่งวิเคราะห์กลิ่นจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นการผสมผสานกันออกมาจากโทนกลิ่นที่มีความเป็นดอกไม้เป็นต่างๆ
ที่สอดรับกันเป็นอย่างดีในการให้กลิ่นอายเขียวที่มีความสดชื่นติดอวบแกมชื้นของไลแลค
เจือความเป็นดอกไม้ขาวใสๆ ติดเขียวของดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley)
แกมมะลิหน่อยๆ และมีความอวลติดเอียนเล็กๆ ตามธรรมชาติของกระดังงา
เคล้ากับกลิ่นหวานปลายของกุหลาบ ทำให้กลิ่นมีความเป็นเอกเทศพอสมควรที่ให้ความเขียวติดชื้นมีความอวลปนหวานติดเอียนๆหน่อยๆ
ตั้งแต่เริ่มต้นเลย และแน่นอนว่ามันอาจจะคล้ายกลิ่นแมลงที่ว่าอยู่บ้าง
แต่มันก็มีมิติของโทนดอกไม้ให้เราจับต้องได้ในการเป็นน้ำหอมสาย Floral
Green ที่ให้กลิ่นแปลกและน่าสนใจมากเลยทีเดียว
สิ่งที่บอกชัดเจนอย่างหนึ่งเลยคือ
ดอกกระดิ่งและไลแลค จะเป็น 2 ตัวเอกที่ชัดเจนมาในการเดินกลิ่นไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอม
แบบที่จะมีลายเซ็นของ 2 กลิ่นนี้อยู่ตลอดแม้จะเปลี่ยนอารมณ์กลิ่นไปบ้างจากตัวที่เข้ามาผสมผสานในช่วงที่เหลือ
โดยในช่วงกลางของน้ำหอม ต้องบอกว่านี่คือความ Powerful มาเต็มกันอย่างแท้ทรู
เพราะกลิ่นดอกดอกไม้ติดเขียวของดอกกระดิ่งกับไลแลคจะผสมผสานกันอย่างลงตัวให้ความเขียวเจือหวานปลายกลิ่นคล้ายมะลิที่ยังมีความอวลติดเอียนของกระดังงาแบบชัดเจนและฟุ้งพุ่งมาก
ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความแห้งปนเย็นๆ เข้ามาแทนที่ โดยไม่ได้มีความชื้นๆ
แบบช่วงต้นๆ แล้ว แต่จะมีความแน่นติด Animlaic สาบหนังอ่อนๆ
เคล้ากลิ่นออกทางเขียวขมแห้งๆ ของ Oakmoss เข้ามาตรึงเป็นฐานกลิ่น
ทำให้กลิ่นมีพลังในการอวลเข้มเข้ามาอีกระดับ รวมถึงสร้างความดาร์กเข้ามาร่วมด้วยในเนื้อกลิ่นที่ได้อารมณ์แบบยืนในดงกลิ่นอายเขียวติดเอียนปนกลิ่นหวานและมีความมืดทึบแบบป่าเขียวมืดในอารมณ์กลิ่นควบคู่ไปด้วย
เรียกว่าเป็นช่วงที่จัดเต็มจริงๆ ในการนำเสนอตาม Concept ที่ Tribute ถึง Wonderful Forest Teasure (ของล้ำค่าอันน่าพิศวงของผืนป่า) นั่นคือ ดอกกระดิ่ง
ที่รายล้อมด้วยกลิ่นอื่นๆ ที่สร้างความทรงพลังได้เต็มชัดมาก
เมื่อกลิ่นดำเนินไปจนสุดทางของช่วงกลาง
โทนกลิ่นเขียวอวลเริ่มลดทอนลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นโทนสนับสนุนที่ยังคงมีอยู่แบบคุมโทนตาม
Concept ก็จะเริ่มจับต้องได้ชัดเจนมากขึ้นถึงโทนไม้หอมที่มีเข้ามาผสมผสานผสานประปรายสร้างมิติที่มีความเป็นไม้ติดดาร์กระเรื่อแต่ไม่หนักหน่วงที่เป็นตัวเสริมชั้นดีให้กับกลิ่นโทนหนังและ
Oakmoss ที่กลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นแล้ว
และยังไม่พอจะจับได้ถึงโทนกลิ่นติดเค็มนวลคล้านผิวกายติดเค็มแนวๆ
ของอำพันปลาวาฬหรือ Ambergris อยู่ด้วย
ซึ่งเป็นตัวตรึงกลิ่นที่ดีที่สร้างลักษณะแบบสาบปลุกเร้า Animalic
แบบเรียบหรูมีระดับมากกว่าจะไปในทางดิบห่าม
ทำให้เลเยอร์มิติของกลิ่นในช่วงนี้จะได้อารมณ์แบบผิวกายติดเขียวที่มีมิติความเขียวขมและเขียวโปร่งหวานในเวลาเดียวกัน
ซึ่งเรียกว่ายังคงความเป็นดอกกระดิ่งเจือไลแลคอยู่ และชูโรงความดาร์กแบบมีระดับในเนื้อกลิ่นได้ดีอยู่เสมอต้นเสมอปลายมากจริงๆ
เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะเป็นกลิ่นอายที่มีความเป็นสภาพแวดล้อม
เลยกวาดทุกเพศวัยตั้งแต่มหาลัยขึ้นไป แต่เพราะกลิ่นไม่ได้ใช้ง่าย อย่างน้อยถ้าผ่านกลิ่นโทนเขียวหรือสายดอกไม้ติดเขียวมาบ้าง
ก็จะเข้าถึงและซึมซับกลิ่นได้มากขึ้น ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ
สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป แต่ถ้าใส่แบบทางการ เบามือมากๆ แล้วกัน
เพราะกลิ่นช่วงกลางมันปล่อยพลังรอบทิศจริงจัง และแน่นอนว่าการจะใส่ตัวนี้เพื่อออกกำลังกาย
ขอให้ข้ามไปได้เลย เดี๋ยวจะจุกเป็นลมเพราะตีขึ้นจัดหนักไปก่อน ส่วนยามค่ำคืน
เอาจริงๆ อยู่ที่ว่าพร้อมที่จะแนวมากขนาดไหนกับการท่องราตรี
และถ้าไม่มายด์ใส่แบบชิลล์ๆ ก็ได้อยู่แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม
ความทน - มากมาย
เพราะ 15 ชม.
กลิ่นยังคงชัดเจนอยู่ ขนาดใช้เพียง 3 สเปรย์ เรียกว่าตรงนี้ต้องยกให้จริงๆ
ว่าดีงาม
การกระจาย -
กลิ่นกระจายดีในตอนต้นที่จะคุณหลอกดาวมากระจายรอบทิศและดีมากในช่วงกลางแบบยาวๆ
(ตรงนี้แหละที่ทำให้ควรใช้แบบสเปรย์เหมาะสม ไม่งั้นจุกหมดทั้งคนใส่และคนได้กลิ่น)
แล้วพอเข้าช่วงท้ายจะลดลงมาปานกลางซักพักแล้วค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป
สรุป -
สมแล้วที่เป็น Love or Hate Scent เพราะถ้าคนที่ไม่ได้ชอบโทนเขียวอวลเจือเอียนๆ หน่อยๆ
จะแบบว่าจอดตั้งแต่เริ่มไม่พอ มาจุกจนเวียนหัวต่อเอาช่วงกลางได้อีก
ซึ่งแน่นอนกลิ่นเลือกคนใส่ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าผิวกายเอื้อกับโทนแบบนี้
และพื้นฐานชอบกลิ่นเขียวทุกประเภทเป็นพื้นฐาน กลิ่นนี้จะเลือกคุณไม่ยาก
ส่วนคนเขียนเหรอ? กว่าจะปรับตัวกับช่วงกลางได้
เรียกว่าตึ้บไม่น้อยเหมือนกัน 55555
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!!
ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้
ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว
ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ
นะครับ”
Photo Credit - https://www.pinterest.dk/pin/461126449323197796/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น