วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Tauer Perfumes - Carillon pour un ange


Tauer Perfumes - Carillon pour un ange

กลับมาที่การสร้างสรรค์ผลงานของสุครธรกรที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน Master of Perfumer เลยก็ว่าได้อย่าง Andy Tauer ซึ่งจากที่เคยได้เล่ากลิ่นอายหมายเลข 02 L'Air du Desert Marocain ที่เป็นผลงานอันยอดเยี่ยมของแบรนด์มาก่อนหน้านี้ ก็ได้เวลามาพิจารณากลิ่นอื่นๆ ของแบรนด์กันต่อหลังจากที่ห่างหายไปนาน โดยได้เห็นการพูดคุยกันของกลุ่มการใช้น้ำหอมต่างประเทศจะมีอยู่รุ่นหนึ่งที่โดยกล่าวถึงกันอยู่พอสมควรที่สามารถเป็นได้ทั้งกลิ่นที่ทำให้รักไปเลยหรือว่าจะเกลียดไปเลยก็ย่อมได้ (Love or Hate Scent) นั่นคือหมายเลข 11 Carillon pour un ange

และเมื่อได้รับการแบ่งปันมาให้ลอง การถอดและเรียนรู้กลิ่นก็ได้บทสรุปที่ตามมาแบบนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นทำเอาอึ้งพอสมควร เพราะความคุ้ยเคยกับกลิ่นแบบนี้มันทำให้นึกถึง เพลี้ยจักจั่นสีเขียว (ที่กัดเจ็บๆ) เวลาเราตบมันจะมีของเหลวไหลออกมาแล้วกลิ่นที่มีความเขียวฉุนกึ่งเอียน เรียกว่าตะลึงตึ่งตึงกันไปเลย ซึ่งถือว่าเป็นวูบแรกที่เวลาเรารับกลิ่นอะไรมา เราจะเอามาเทียบกับประสบการณ์ของเราก่อนเสมอว่าคล้ายกับอะไร แต่พอมานั่งวิเคราะห์กลิ่นจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นการผสมผสานกันออกมาจากโทนกลิ่นที่มีความเป็นดอกไม้เป็นต่างๆ ที่สอดรับกันเป็นอย่างดีในการให้กลิ่นอายเขียวที่มีความสดชื่นติดอวบแกมชื้นของไลแลค เจือความเป็นดอกไม้ขาวใสๆ ติดเขียวของดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) แกมมะลิหน่อยๆ และมีความอวลติดเอียนเล็กๆ ตามธรรมชาติของกระดังงา เคล้ากับกลิ่นหวานปลายของกุหลาบ ทำให้กลิ่นมีความเป็นเอกเทศพอสมควรที่ให้ความเขียวติดชื้นมีความอวลปนหวานติดเอียนๆหน่อยๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเลย และแน่นอนว่ามันอาจจะคล้ายกลิ่นแมลงที่ว่าอยู่บ้าง แต่มันก็มีมิติของโทนดอกไม้ให้เราจับต้องได้ในการเป็นน้ำหอมสาย Floral Green ที่ให้กลิ่นแปลกและน่าสนใจมากเลยทีเดียว

สิ่งที่บอกชัดเจนอย่างหนึ่งเลยคือ ดอกกระดิ่งและไลแลค จะเป็น 2 ตัวเอกที่ชัดเจนมาในการเดินกลิ่นไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอม แบบที่จะมีลายเซ็นของ 2 กลิ่นนี้อยู่ตลอดแม้จะเปลี่ยนอารมณ์กลิ่นไปบ้างจากตัวที่เข้ามาผสมผสานในช่วงที่เหลือ โดยในช่วงกลางของน้ำหอม ต้องบอกว่านี่คือความ Powerful มาเต็มกันอย่างแท้ทรู เพราะกลิ่นดอกดอกไม้ติดเขียวของดอกกระดิ่งกับไลแลคจะผสมผสานกันอย่างลงตัวให้ความเขียวเจือหวานปลายกลิ่นคล้ายมะลิที่ยังมีความอวลติดเอียนของกระดังงาแบบชัดเจนและฟุ้งพุ่งมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความแห้งปนเย็นๆ เข้ามาแทนที่ โดยไม่ได้มีความชื้นๆ แบบช่วงต้นๆ แล้ว แต่จะมีความแน่นติด Animlaic สาบหนังอ่อนๆ เคล้ากลิ่นออกทางเขียวขมแห้งๆ ของ Oakmoss เข้ามาตรึงเป็นฐานกลิ่น ทำให้กลิ่นมีพลังในการอวลเข้มเข้ามาอีกระดับ รวมถึงสร้างความดาร์กเข้ามาร่วมด้วยในเนื้อกลิ่นที่ได้อารมณ์แบบยืนในดงกลิ่นอายเขียวติดเอียนปนกลิ่นหวานและมีความมืดทึบแบบป่าเขียวมืดในอารมณ์กลิ่นควบคู่ไปด้วย เรียกว่าเป็นช่วงที่จัดเต็มจริงๆ ในการนำเสนอตาม Concept ที่ Tribute ถึง Wonderful Forest Teasure (ของล้ำค่าอันน่าพิศวงของผืนป่า) นั่นคือ ดอกกระดิ่ง ที่รายล้อมด้วยกลิ่นอื่นๆ ที่สร้างความทรงพลังได้เต็มชัดมาก

เมื่อกลิ่นดำเนินไปจนสุดทางของช่วงกลาง โทนกลิ่นเขียวอวลเริ่มลดทอนลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นโทนสนับสนุนที่ยังคงมีอยู่แบบคุมโทนตาม Concept ก็จะเริ่มจับต้องได้ชัดเจนมากขึ้นถึงโทนไม้หอมที่มีเข้ามาผสมผสานผสานประปรายสร้างมิติที่มีความเป็นไม้ติดดาร์กระเรื่อแต่ไม่หนักหน่วงที่เป็นตัวเสริมชั้นดีให้กับกลิ่นโทนหนังและ Oakmoss ที่กลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นแล้ว และยังไม่พอจะจับได้ถึงโทนกลิ่นติดเค็มนวลคล้านผิวกายติดเค็มแนวๆ ของอำพันปลาวาฬหรือ Ambergris อยู่ด้วย ซึ่งเป็นตัวตรึงกลิ่นที่ดีที่สร้างลักษณะแบบสาบปลุกเร้Animalic แบบเรียบหรูมีระดับมากกว่าจะไปในทางดิบห่าม ทำให้เลเยอร์มิติของกลิ่นในช่วงนี้จะได้อารมณ์แบบผิวกายติดเขียวที่มีมิติความเขียวขมและเขียวโปร่งหวานในเวลาเดียวกัน ซึ่งเรียกว่ายังคงความเป็นดอกกระดิ่งเจือไลแลคอยู่ และชูโรงความดาร์กแบบมีระดับในเนื้อกลิ่นได้ดีอยู่เสมอต้นเสมอปลายมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะเป็นกลิ่นอายที่มีความเป็นสภาพแวดล้อม เลยกวาดทุกเพศวัยตั้งแต่มหาลัยขึ้นไป แต่เพราะกลิ่นไม่ได้ใช้ง่าย อย่างน้อยถ้าผ่านกลิ่นโทนเขียวหรือสายดอกไม้ติดเขียวมาบ้าง ก็จะเข้าถึงและซึมซับกลิ่นได้มากขึ้น ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป แต่ถ้าใส่แบบทางการ เบามือมากๆ แล้วกัน เพราะกลิ่นช่วงกลางมันปล่อยพลังรอบทิศจริงจัง และแน่นอนว่าการจะใส่ตัวนี้เพื่อออกกำลังกาย ขอให้ข้ามไปได้เลย เดี๋ยวจะจุกเป็นลมเพราะตีขึ้นจัดหนักไปก่อน ส่วนยามค่ำคืน เอาจริงๆ อยู่ที่ว่าพร้อมที่จะแนวมากขนาดไหนกับการท่องราตรี และถ้าไม่มายด์ใส่แบบชิลล์ๆ ก็ได้อยู่แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม

ความทน - มากมาย เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังคงชัดเจนอยู่ ขนาดใช้เพียง 3 สเปรย์ เรียกว่าตรงนี้ต้องยกให้จริงๆ ว่าดีงาม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นที่จะคุณหลอกดาวมากระจายรอบทิศและดีมากในช่วงกลางแบบยาวๆ (ตรงนี้แหละที่ทำให้ควรใช้แบบสเปรย์เหมาะสม ไม่งั้นจุกหมดทั้งคนใส่และคนได้กลิ่น) แล้วพอเข้าช่วงท้ายจะลดลงมาปานกลางซักพักแล้วค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป

สรุป - สมแล้วที่เป็น Love or Hate Scent เพราะถ้าคนที่ไม่ได้ชอบโทนเขียวอวลเจือเอียนๆ หน่อยๆ จะแบบว่าจอดตั้งแต่เริ่มไม่พอ มาจุกจนเวียนหัวต่อเอาช่วงกลางได้อีก ซึ่งแน่นอนกลิ่นเลือกคนใส่ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าผิวกายเอื้อกับโทนแบบนี้ และพื้นฐานชอบกลิ่นเขียวทุกประเภทเป็นพื้นฐาน กลิ่นนี้จะเลือกคุณไม่ยาก ส่วนคนเขียนเหรอ? กว่าจะปรับตัวกับช่วงกลางได้ เรียกว่าตึ้บไม่น้อยเหมือนกัน 55555

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.pinterest.dk/pin/461126449323197796/


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น